เก่งไม่พอ? | ก้าวไกลวิสัยทัศน์

ในยุคที่การพลิกโฉมเกิดขึ้นรอบตัว นับตั้งแต่เทคโนโลยีไปจนกระทั่ง Business Model หลายคนจะมีความกังวลตลอดเวลาว่า ตนเองเก่งไม่พอ กังวลมากจนกระทั่งคิดมากเกินไปในแทบทุกเรื่อง
ตัดสินใจช้าจนไม่ทันการณ์ มองเห็นแต่ความสำเร็จของคนอื่น ความสำเร็จที่ตนสร้างสรรค์ขึ้นมานั้นถูกมองข้ามไปทั้งหมด
ยิ่งเป็นคนที่เติบโตในหน้าที่การงานมาจากงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง ๆ มักจะคิดว่า ตนเองจะทำงานได้ต้องรู้ทุกอย่าง ซึ่งเป็นไปได้ยากมากในเวลาที่รอบตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วันนี้ไม่มีใครที่จะรู้ไปทุกอย่างได้อีกแล้ว
คนเก่งที่คิดว่าตนเองรู้ทุกอย่างนี่แหละที่มีโอกาสกังวลว่าเก่งไม่พอมากกว่าคนอื่น ๆ ความกังวลว่าตนเองเก่งไม่พอนั้น ไม่ใช่โรคจิต เป็นเพียงแค่อาการอย่างหนึ่ง ที่รู้จักกันในชื่อว่า Imposter Syndrome
คนเก่งไปพลาดท่าให้กับคนอวดเก่ง เพราะคนเก่งวิตกไปเองว่า ตนเองเก่งไม่พอ ปล่อยให้เก้าอี้สำหรับคนมีฝีมือหลุดไปอยู่กับคนอวดเก่ง ได้ตำแหน่งแล้วก็แค่ใช้ตำแหน่งเปิดงานนั้นงานนี้ จนดูเหมือนสร้างความสำเร็จไปแทบทุกวงการ ซึ่งที่แท้ก็แค่ผักชีโรยหน้าเท่านั้น
ถ้าลดความวิตกกังวลว่า เก่งไม่พอให้กับคนเก่งจริงลงได้บ้าง องค์กรย่อมได้ประโยชน์จากความเก่งมากกว่าแค่ได้การอวดเก่งของคนบางคนที่ไม่สมควรจะได้เก้าอี้นั้นไป
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสารพัดเรื่องรอบตัว ทำให้คนเก่งหลายคนกังวลเกินสมควรได้เสมอ เคยรู้ไปไม่แทบทุกเรื่อง วันนี้เรื่องนั้นก็ยังไม่รู้ เรื่องนี้ก็ยังตามไม่ทัน ถ้าต้องการเอาชนะความกังวลนี้ได้ ต้องตระหนักให้ได้ก่อนว่า ทั้งหมดยังเป็นแค่ความกังวล
ยังไม่มีอะไรเป็นหลักฐานแน่ชัดว่า เราเก่งไม่พอ เรื่องที่ยังไม่รู้เราก็เคยเรียนรู้มาได้จากการงานที่ผ่านมา เพียงแค่ว่าวันนี้อาจมีเรื่องใหม่ ๆ ที่เราจะต้องเรียนรู้มาเร็ว และมามากกว่าแต่ก่อน
ยังไม่รู้เรื่อง AI ไม่ได้หมายความว่า เราจะเก่งไม่พอสำหรับ AI แต่ระวังไว้ว่าอคติจะพยายามยืนยันว่าเราเก่งไม่พอวนเวียนไปมา ดังนั้น หยุดคิดสักนิดในยามที่รู้สึกว่าเราเก่งไม่พอ ใช้เวลาจัดระเบียบความคิดเพิ่มขึ้นสักหน่อยเมื่ออคติท้าทายว่าเราเก่งไม่พอ ถ้าต้องพูดจากับใครในช่วงเวลานี้ คุมจังหวะการพูดให้ช้าลงหน่อย จะได้ไม่เผลอยอมรับกลางวงว่า ฉันไม่เหมาะ เพราะฉันเก่งไม่พอ จะเสียท่าคนอวดเก่งไปเปล่า ๆ
คนอวดเก่งเอาคำศัพท์เทคนิคมาพูดผิดบ้างถูกบ้าง ให้ดูว่าเก่ง ถ้าคนเก่งมัวแต่กังวลว่าเก่งไม่พอกับคำเทคนิคเหล่านั้น สุดท้ายเก้าอี้เลยกลายเป็นของคนอวดเก่งไปจนได้ ตระหนักให้ได้ว่าวันนี้ยังเป็นแค่ความกังวล ไม่ใช่ความไม่เก่ง พูดช้าลงนิดไม่ให้หลุดไปตามอคติว่าฉันเก่งไม่พอสำหรับเรื่องนี้
ในยามที่บริบทเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่าวิตกว่าไม่รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ เริ่มต้นวิเคราะห์ก่อนว่า อะไรที่ต้องรู้ในอันดับแรก ต้องเก่งขึ้นในอันดับแรก งานสมัยใหม่ AI มีบทบาทมากมาย ก็เลือกรู้จากเรื่องเล็ก ๆ เกี่ยวกับการใช้ AI ไปทีละเรื่องสองเรื่อง อย่ารีบร้อน จะช่วยลดทอนอคติว่า ฉันเก่งไม่พอไปได้ทีละน้อย พอเรื่องใหม่ๆ เริ่มเก่งขึ้นสักเรื่องสองเรื่อง ความวิตกย่อมลดน้อยลงไปได้
วิตกน้อยลง อคติต่อตนเองจะลดลงตามไปด้วย ระวังไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เรียนรู้เรื่องใหม่ ย่อมมีการผิดพลาดขึ้นได้เป็นธรรมดา ให้ตั้งกติกากับตนเองไว้ว่า ผิดพลาดให้ข้อมูลใหม่ไว้ใช้วันหน้า ผิดพลาดไม่ใช่ตัวตนของเราที่ทำอะไรใหม่ไม่ได้
การที่จะเอาชนะอคติต่อตนเองว่าเก่งไม่พอนั้น หลักฐานสนับสนุนช่วยได้มาก ให้ทบทวนความสำเร็จที่เคยทำมาเพื่อใช้ลดทอนอคติ และมีกำลังใจที่จะเดินหน้าเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยที่เมื่อรู้เรื่องใหม่แล้ว ให้บันทึกไว้ว่าได้นำไปสร้างความสำเร็จอะไรขึ้นบ้างในแต่ละสัปดาห์ เพื่อให้มั่นใจว่าเราเก่งขึ้นได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามแต่ให้บันทึกไว้เสมอ เน้นว่าความสำเร็จนั้นส่งผลอย่างไรกับการงานของเรา
วิธีนี้จะช่วยเปลี่ยนความวิตกกังวลว่า เก่งไม่พอ กลายเป็นการแสวงหาข้อมูลหลักฐานที่ยืนยันว่าเราเก่งจริง หาหลักฐานว่าอะไรที่เมื่อก่อนฉันทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันเก่งเรื่องนั้นแล้ว ใช้ข้อมูลจริงเอาชนะอคติ ความวิตกว่า เก่งไม่พอ ไม่ได้หมายความว่า เราไม่เก่ง แต่หมายถึงว่าเรากำลังก้าวไปสู่เรื่องสำคัญใหม่ในชีวิต







