100 ปีชาตกาล 'สมพร เทพสิทธา' ผู้ปิดทองหลังพระ ที่คนไทยต้องจารึก

100 ปีชาตกาล "อาจารย์สมพร เทพสิทธา" ผู้ปิดทองหลังพระ เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่คนไทยต้องจารึก ย้อนรอยชีวิตสู่ "ความสุขและความสำเร็จ" แบบฉบับปูชนียบุคคล
“ไม่ว่าคนเราจะมีความต้องการและเป้าหมายของชีวิตแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่คนเรามีความต้องการและเป้าหมายของชีวิตที่ตรงกันคือ ความสุข และ ความสำเร็จ”
จากหนังสือ “ชีวิตที่มีความสุขและความสำเร็จ : สมพร เทพสิทธา เขียนในโอกาสครบรอบวันเกิด 84 ปี”
ย้อนกลับไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พุทธศักราช 2564 เวลา 16.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จไปในการพระราชทานเพลิงศพ อาจารย์สมพร เทพสิทธา อดีตข้าราชการบำนาญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ อดีตประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตนายกสมาคมส่งเสริมเอกลักษณ์ของชาติ และอดีตประธานมูลนิธิสมพร เทพสิทธา เพื่อศาสนาและพัฒนาสังคม ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
อาจารย์สมพร เทพสิทธา ได้กราบถวายบังคมลาถึงแก่อนิจกรรมเนื่องจากหัวใจล้มเหลว ที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ในวัย 94 ปี เมื่ออังคารที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2563 เวลา 17.23 น.
ในหนังสือ “ชีวิตนี้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายสมพร เทพสิทธา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เขียนคำไว้อาลัย แด่อาจารย์สมพร เทพสิทธาไว้ตอนหนึ่งว่า
“คุณสมพร เทพสิทธา เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้นำ ท่านได้ดำรงสถานะเป็นประธานขององค์กร หน่วยงาน และกิจการสาธารณะมากมาย นอกจากเป็นประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยอยู่เป็นหลักให้อย่างยืนยาวแล้ว กล่าวจำเพาะในวงกิจการของพุทธศาสนิกชนที่ผ่านมา ท่านได้เป็นหัวหน้า เป็นผู้ใหญ่ ทั้งในยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย และสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ จนถึงพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย
“โดยเฉพาะสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ซึ่งเป็นกิจการสาธารณกุศลเพื่อการบำเพ็ญประโยชน์อย่างกว้างขวาง และสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นกิจการทางพระพุทธศาสนาที่ส่งเสริมเยาวชนให้เข้าสู่ธรรม และให้พร้อมใจกันช่วยนำธรรมเข้าสู่สังคมเพื่อความดีงามและความสุขความเจริญ
“อาตมภาพได้รู้จักนามของสภาทั้งสองนั้น คู่มากับนามของคุณสมพร เทพสิทธา ในฐานะที่ท่านเป็นประธานสภาของสภาทั้งสองนั้นตลอดมา เป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งอาตมภาพออกไปอยู่ห่างไกลจากข่าวสารในสังคม”
อาจารย์สมพร เทพสิทธา เป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก ท่านดำเนินชีวิตตามรอยธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เป็นต้นแบบในการทำงานเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มาตลอดจนลมหายใจสุดท้ายในวัย 94 ปี
ท่านได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่ง มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.), มหาวชิรามงกุฎ (ม.ว.ม.), ทุติยจุลจอมเกล้า (ท.จ.) ตติยดิเรกคุณาภรณ์ (ตภ.) และรางวัลแห่งชีวิตมากมาย อาทิ
- ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประจำปี 2530
- นักเรียนทุนรัฐบาลไทยดีเด่น ประจำปี 2551 จากสมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทย
- รางวัล นราธิป 2551 จากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
- รางวัล “คนดีศรีแผ่นดิน” ในโครงการ “คนดีศรีแผ่นดินตามรอยธรรมราชา” ครั้งที่ ๒ จัดโดย มูลนิธิ 100 พระชันษา สมเด็จพระญาณสังวรานุสรณ์ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พุทธศักราช 2562
เนื่องในวาระ 100 ปี ชาตกาล อาจารย์สมพร เทพสิทธา (3 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2468 – 2568) จึงขอเชิดชูเกียรติคนเล็กๆ แห่งแผ่นดินท่านนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ในสังคมไทย
อัตชีวประวัติ อาจารย์สมพร เทพสิทธา โดยสังเขป
“คุณแม่ลิ้นจี่สอนลูกๆ ว่า ...แม้แม่จะไม่มีมรดกที่เป็นทรัพย์สมบัติให้ลูก แต่แม่ก็ได้ให้การศึกษาและธรรมะเป็นมรดกแก่ลูกทุกคน” สมพร เทพสิทธา
“ข้าพเจ้าถือว่า เป็นโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย ที่มีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นพระประมุขของประเทศ พระองค์ทรงได้รับการยกย่องเทิดทูนว่า
ทรงเป็น “พระธรรมิกราชา - พระมหาราชาผู้ทรงอยู่ในธรรม” ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ที่ได้ทรงพัฒนาประเทศไทยในด้านต่างๆ ทำให้ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”
อาจารย์สมพร เทพสิทธา เขียนเล่าไว้ในหนังสือ “บุคคลผู้มีอุปการคุณแก่ชีวิตของข้าพเจ้า” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นแรงบันดาลใจต้นแบบปณิธานของท่านในการอุทิศชีวิตเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนถึงลมหายใจสุดท้าย
นอกจากล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 แล้ว พระพุทธศาสนาคือหลักธรรมนำชีวิตให้ท่านก้าวสู่ร่มกาสาวพัสตร์หนึ่งพรรษา ซึ่งเป็นต้นทางนำชีวิตท่านไปสู่ความสุขความสำเร็จอย่างงดงามด้วยความซซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ความกตัญญูต่อบุพการี และความเคารพรักครูบาอาจารย์เป็นพื้นฐาน อีกทั้งผู้ที่ท่านนับถืออีกมากมาย ที่เป็นแรงบันดาลใจในชีวิต
ดังที่ท่านเขียนอัตชีวประวัติของท่านไว้ในหนังสือ “ชีวิตที่มีความสุขและความสำเร็จ : สมพร เทพสิทธา เขียนในโอกาสครบรอบวันเกิด 84 ปี” ตอนหนึ่งว่า
ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดีที่เกิดในครอบครัวที่ดี ไม่ใช่ครอบครัวที่แตกแยก แตกร้าว ขาดความรัก ความเข้าใจและความอบอุ่น
ข้าพเจ้ามีบุพการีที่ดี ให้การอบรมสั่งสอนที่ดีด้วยความรักและความเอาใจใส่ เป็นการวางรากฐานชีวิตที่ดี และมั่นคงให้แก่ข้าพเจ้าในเบื้องต้น คุณพ่อของข้าพเจ้าคือ ขุนกสิกรพิศาล คุณแม่ของข้าพเจ้าคือ คุณแม่ลิ้นจี่ เทพสิทธา
นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังมีคุณยายเปลี่ยน จิรวงศ์ ผู้ซึ่งให้ความรักความเอาใจใส่ การดูแลข้าพเจ้าและพี่น้อง ข้าพเจ้าจึงเรียกคุณยายเปลี่ยนว่า “แม่” และเรียกคุณแม่ลิ้นจี่ว่า “นม”
ข้าพเจ้ามีพี่น้อง 4 คน ล้วนแต่เป็นผู้ชาย พี่ชายคนโตคือ น.ท.นิยม เทพสิทธา น้องชายทั้งสามคนคือ น.อ.โชคชัย เทพสิทธา พล.ท.พิศาล เทพสิทธา และบรรยง เทพสิทธา
ข้าพเจ้าได้สมรสกับคุณทิพพร อรรถโกมล ซึ่งสำเร็จบัญชีบัณฑิตจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่นเดียวกัน มีบุตรธิดา 4 คน คือ น้ำทิพย์ มิลลิแกน นพพร เทพสิทธา พรพิมล เทพสิทธา และ พรเทพ เทพสิทธา
ข้าพเจ้าเกิดที่อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ใกล้กับองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการที่พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นแห่งแรก
คุณยายเปลี่ยน จิรวงศ์ คุณยายของข้าพเจ้า ได้อบรมเลี้ยงดูข้าพเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ท่านมีความศรัทธา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก เป็นผู้ใฝ่ใจในธรรม ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีความเมตตากรุณา โอบอ้อมอารีต่อผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่ยากจน ตกทุกข์ได้ยาก ท่านเข้าวัดฟังธรรมและปฏิบัติธรรมเป็นประจำ
โดยเฉพาะที่วัดเสนหา อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ท่านมักจะนำข้าพเจ้าไปวัดกับท่านเสมอ ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้ใกล้ชิดกับวัดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ท่านจะเป็นเจ้าภาพและร่วมในการทอดกฐิน และทอดผ้าป่าวัดต่างๆ ข้าพเจ้าจึงมีโอกาสไปร่วมการทำบุญกับท่าน
คุณแม่ลิ้นจี่ เทพสิทธา มารดาของข้าพเจ้า ประกอบอาชีพค้าขาย มีร้านค้าอยู่ในตลาดล่าง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ท่านได้ตั้งตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ท่านเป็นผู้มีความเมตตากรุณา โอบอ้อมอารี เห็นอกเห็นใจคนยากจน และผู้ที่ประสบความทุกข์ยากเดือดร้อน การปฏิบัติชอบ และคำสอนของท่านได้ฝังอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้ามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
คุณแม่ลิ้นจี่ เป็นผู้เห็นความสำคัญของการศึกษา แม้ท่านจะจบเพียงชั้นประถมศึกษา ท่านก็พยายามหาเงินมาส่งให้พวกเราลูกๆ ทุกคนได้รับการศึกษาให้มากที่สุดและอย่างดีที่สุด ...ท่านได้บอกกับลูกๆ ว่า “แม้แม่จะไม่มีมรดกที่เป็นทรัพย์สมบัติให้ลูก แต่แม่ก็ได้ให้การศึกษาและธรรมะเป็นมรดกแก่ลูกทุกคน”
คุณพ่อขุนกสิกรพิศาล บิดาของข้าพเจ้า เป็นคนตำบลสะพือ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี เดิมท่านบวชเป็นพระภิกษุ ท่านจึงมีความรอบรู้ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี เป็นผู้ดำรงชีวิตอยู่ในกรอบของศีลธรรมตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้ลาออกจากสมณเพศไปสมัครเรียนเป็นนักเรียนเกษตรกรรม ที่โรงเรียนเกษตรกรรม ตำบลพระประโทน อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นโรงเรียนเกษตรกรรมแห่งแรกของประเทศไทย
และท่านเป็นนักเรียนหมายเลข 1 เมื่อจบการศึกษาแล้ว ท่านก็รับราชการในกรมกสิกรรม กระทรวงเกษตราธิการ จนเกษียณราชการ ท่านได้ให้คำแนะนำแก่ข้าพเจ้าในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต การศึกษา และการทำงาน เป็นต้น







