อวสานหรือยัง? แจกเงิน 'คนละครึ่ง เฟส 2' ปากท้องคนไทย หลังยุบสภา

"กรุงเทพธุรกิจ" ตามติดมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทย อวสานหรือยัง? แจกเงิน "คนละครึ่ง เฟส 2" ปมร้อนปากท้องคนไทย หลัง นายกฯ อนุทิน ยุบสภา ตัดจบแล้ว ต้องทำการพับเก็บโครงการล่าสุด ไม่ได้เงินแล้ว 2,000 บาท ติดข้อจำกัดทางกฎหมายเลือกตั้ง การอนุมัติงบฯ 

วันนี้ 12 ธันวาคม 2568 โครงการที่ประชาชนหลายสิบล้านคนเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ อย่าง "คนละครึ่ง เฟส 2" ที่คาดการณ์ว่าจะมีการ แจกเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ คนละ 2,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดต้องเผชิญกับจุดจบที่ไม่คาดฝัน หลังมีการ "ยุบสภา" กะทันหัน ทำให้แผนการเดินหน้าโครงการต้อง "พับเก็บ" ไปโดยปริยาย เนื่องจากติดข้อจำกัดทางกฎหมายเลือกตั้งที่ไม่เอื้อให้รัฐบาลรักษาการอนุมัติมาตรการลักษณะนี้ได้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดเกล้าฯ ‘พ.ร.ฎ.ยุบสภา’ อนุทิน อ้างการเมืองรุมเร้า บริหารประเทศไม่ได้ (คลิก)

คนละครึ่ง เฟส 2 ชวดเงิน 2,000 บาท เพราะเหตุใดจึงต้องยกเลิกกลางคัน?

ในวันนี้ 12 ธ.ค. 68 นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาชี้แจงประเด็นร้อนที่ทำเนียบรัฐบาล โดยยืนยันชัดเจนว่า โครงการ คนละครึ่งพลัส เฟส 2 จำเป็นต้อง "พับโครงการไว้ก่อน"

สาเหตุสำคัญมาจากการที่รัฐบาลกลายสภาพเป็น “รัฐบาลรักษาการ” หลังการยุบสภา ซึ่งมี ข้อจำกัดทางกฎหมายเลือกตั้ง ที่ไม่อนุญาตให้มีการอนุมัติมาตรการที่ส่งผลผูกพัน หรืออนุมัติการจ่ายเงินในลักษณะที่อาจถูกมองว่าเป็นการหาเสียงเลือกตั้งได้ ดังนั้น ความหวังที่จะได้เงิน 2,000 บาท ในห้วงเวลานี้จึงเป็นอันสิ้นสุดลง

การประกาศยุบสภาของ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ถือเป็นการสกัดกั้นความหวังของประชาชนที่กำลังรอคอยเงินก้อนนี้ ซึ่งตามกำหนดเดิม นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง เตรียมนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 16 ธันวาคม 2568 แต่คำสั่งยุบสภาที่มาก่อนทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงัก

 

เปิดเหตุผล ยุบสภา ปมร้อน “หักหลัง” พรรคประชาชน หรือรักษาเส้นทางการแก้รัฐธรรมนูญ?

ประเด็นร้อนแรงควบคู่กันมาคือการตัดสินใจ ยุบสภาอย่างกะทันหัน ของนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการ "หักหลัง พรรคประชาชน" และสะท้อนความไม่จริงใจต่อการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือไม่?

ในประเด็นนี้ นายภราดร ได้ออกมาชี้แจงอย่างหนักแน่นว่า พรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคที่มีความตั้งใจมากที่สุดในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยอมถอยในหลายประเด็นในชั้นกรรมาธิการเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศ

จุดแตกหัก มาตรา 256/28 ทำไมต้องลงมติร่วมกับ ส.ว.?

นายภราดร ระบุว่า จุดตัดสินใจ เกิดขึ้นในการลงมติ มาตรา 256/28 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นผลสู้กันระหว่างกรรมาธิการเสียงข้างมากและญัตติของวุฒิสภา (ส.ว.) โดย ส.ว. ได้ส่งสัญญาณชัดเจน ว่า หากเนื้อหาในวาระ 2 และวาระ 3 ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ จะไม่โหวตให้ในวาระสุดท้ายอย่างแน่นอน

"ดังนั้น การตัดสินใจของพรรคไม่ได้มาจากเนื้อหาที่เห็นต่าง แต่เรามองที่ "ปลายทาง" ว่าหากเดินต่อด้วยเนื้อหาแบบนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถสำเร็จตามที่ให้สัญญาไว้ เราจึงต้องลงมติตามการสงวนความเห็นของ ส.ว. เพื่อรักษาเส้นทางในวาระสุดท้าย" นายภราดรกล่าว ชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจเป็นไปเพื่อรักษาโอกาสในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จตามรัฐธรรมนูญกำหนดเสียง ส.ว.ไว้ 67 เสียง

ความมั่นคงประเทศไม่สะดุด รัฐบาลรักษาการทำงานด้านชายแดนได้ปกติ

สำหรับข้อกังวลที่ว่า การยุบสภาท่ามกลาง สถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา จะทำให้ประชาชนมองว่ารัฐบาลละทิ้งหน้าที่หรือไม่?

นายภราดร ย้ำว่า รัฐบาลรักษาการยังคงสามารถทำงานด้านความมั่นคงและภัยพิบัติได้ตามปกติ จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามารับตำแหน่ง โดยภารกิจเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน ภัยสงคราม หรือเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ยังคงสามารถดำเนินต่อไปตามอำนาจหน้าที่เดิมได้โดยไม่มีข้อจำกัด

สรุปความหวัง "คนละครึ่งพลัส" จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่..อยู่ที่รัฐบาลชุดหน้า

การยุบสภาครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงการ "คนละครึ่ง เฟส 2" ทำให้ประชาชนพลาดโอกาสรับเงิน 2,000 บาท ไปอย่างน่าเสียดาย และความหวังทั้งหมดได้ถูกโยนไปที่การจัดตั้ง รัฐบาลชุดใหม่ หลังการเลือกตั้งเท่านั้น ที่จะมีอำนาจทางกฎหมายในการรื้อฟื้นและอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลักษณะนี้ขึ้นมาอีกครั้ง