วิธีดูแลรถน้ำท่วม รถจมน้ำนาน ห้ามสตาร์ทรถ เสี่ยงเครื่องยนต์พัง

ใต้น้ำท่วมหนัก! กระทบคน รถยนต์ มอเตอร์ไซค์จมน้ำนับไม่ถ้วน อ่วมสุด มรสุมถล่ม หาดใหญ่ เช็กด่วน ใครมีรถยนต์ วิธีดูแลรถน้ำท่วม รถจมน้ำนาน ห้ามสตาร์ทรถ เสี่ยงเครื่องยนต์พัง
ตามติดสถานการณ์ภาคใต้น้ำท่วมหนัก! กระทบทั้งคน รถยนต์-มอเตอร์ไซค์ จมน้ำนับไม่ถ้วน อ่วมสุด มรสุมถล่ม "หาดใหญ่" เช็กด่วน! ใครมีรถยนต์ต้องรู้ เปิดวิธีดูแลรถน้ำท่วม รถจมน้ำนาน ห้ามสตาร์ทรถ เสี่ยงเครื่องยนต์พังยับ เสียหายหนักกว่าเดิม
กรมอุตุฯ เผยภาคใต้ตอนล่างวิกฤต! "ฝนหนัก-น้ำท่วมฉับพลัน" กระทบหนักสุด
สถานการณ์ในพื้นที่ ภาคใต้ตอนล่าง ยังคงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หลังกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศล่าสุด เตือน ฝนตกหนักต่อเนื่อง ในวันนี้ (26 พฤศจิกายน 2568) โดยเฉพาะจังหวัด พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และ สตูล เนื่องจากอิทธิพลของหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่เคลื่อนตัวไปปกคลุมทะเลอันดามันตอนล่าง และช่องแคบมะละกา ผสมกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลาง
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเผชิญกับ น้ำท่วม 2568 ครั้งใหญ่ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ภาคการเกษตร สัตว์เลี้ยง และที่สำคัญคือ ยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์หรือ รถยนต์ ที่ถูกน้ำท่วมจมมิดไปแล้วหลายคัน สร้างความเสียหายประเมินค่าไม่ได้
คู่มือฉุกเฉิน ขั้นตอน "กู้ชีพรถ" หลังถูกน้ำท่วม จากกรมการขนส่งทางบก
เมื่อรถยนต์ต้องจมอยู่ใต้น้ำ สิ่งที่เจ้าของรถต้องตระหนักและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือการ "ห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาด" เพราะการกระทำดังกล่าวอาจทำให้รถเกิดความเสียหายหนักกว่าที่คิด "กรุงเทพธุรกิจ" ได้รวบรวมคำแนะนำฉุกเฉินในการดูแลรถที่ถูกน้ำท่วมอย่างถูกต้อง ตามข้อมูลอ้างอิงจาก กรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างปลอดภัยที่สุด
ข้อห้ามอันตรายที่สุด ห้ามสตาร์ทรถยนต์หลังน้ำท่วมทำไม?
ย้ำเตือน การพยายาม สตาร์ทเครื่องยนต์ ในขณะที่รถยังเปียกหรือมีน้ำท่วมขังอยู่ อาจทำให้น้ำเข้าสู่ระบบไฟฟ้าและทำให้เกิด ไฟฟ้าลัดวงจร ได้ทันที
ที่สำคัญที่สุดคือ น้ำอาจถูกดูดเข้าไปในห้องเผาไหม้ (Water Hammer) ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์ เช่น ก้านสูบคด ข้อเหวี่ยงเสียหาย ซึ่งจะทำให้ค่าซ่อมพุ่งสูงขึ้นกว่าการซ่อมแซมส่วนอื่น ๆ หลายเท่าตัว
ขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำทันที หลังน้ำท่วมรถ
1.) ตรวจสอบความเสียหาย ติดต่อประกันภัย แจ้งระดับน้ำที่เข้าไปในรถ และถ่ายรูปภายใน-ภายนอกรถไว้เพื่อเป็นหลักฐาน
2.) ติดต่อบริการเคลื่อนย้ายรถ (รถสไลด์ รถยก รถลาก) เพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมรถ ไม่สตาร์ทรถและเคลื่อนย้ายรถด้วยตนเอง
- ช่างจะประเมินความเสียหาย ตรวจสอบระบบต่างๆ ของรถ ดูว่ามีน้ำเข้าถึงส่วนใดบ้าง
- ถ่ายของเหลวทุกชนิด เนื่องจากน้ำอาจปนเปื้อนและทำให้ระบบเสียหายได้ เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และน้ำมันอื่นๆ
- ตรวจสอบซ่อมแซมระบบไฟฟ้า ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด เช่น แบตเตอรี่และสายไฟต่างๆ
- ทำความสะอาดภายในรถ เช่น พรม เบาะที่นั่ง ส่วนประกอบภายในที่เปียกน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นเหม็น
3.) เจ้าของรถ ทดสอบรถหลังซ่อมแซม ตรวจสอบการทำงานของระบบไฟฟ้า ระบบเบรก ระบบปรับอากาศ ระบบต่างๆ ของรถ และทดลองขับรถ หากพบปัญหาให้แจ้งกลับไปที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมทันที
4.) วางแผนการบำรุงรักษาในระยะยาว รถที่ถูกน้ำท่วมอาจเกิดปัญหาในอนาคตได้ ควรวางแผนการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
ปรึกษาเรื่องความคุ้มค่า
หากรถถูกน้ำท่วมเสียหายหนักทั้งคัน ควรปรึกษาศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถอย่างรอบคอบว่า การซ่อมแซมนั้นคุ้มค่ากับการใช้งานต่อหรือไม่ หรือมีทางเลือกในการจัดการรถที่ดีกว่า เช่น การขายซาก หรือการเปลี่ยนรถใหม่ เพื่อไม่ให้แบกรับภาระค่าซ่อมที่อาจไม่จบสิ้น
อ้างอิง-ภาพ : REUTERS/Weerapong Narongkul , กรมการขนส่งทางบก , ขับขี่ปลอดภัย by DLT







