สร้างกำไรระยะสั้นด้วย “สมถะ” ปิดดีลด้วย “วิปัสสนา”

สร้างกำไรระยะสั้นด้วย “สมถะ” ปิดดีลด้วย “วิปัสสนา”

สินทรัพย์สำคัญหนึ่งของผู้นำคือ “สมาธิ” (Focus) ในขณะที่ปัจจุบันคนทั่วไปมีสมาธิสั้นเฉลี่ยเพียง 8 วินาที

ทำให้หลายคนในยุคนี้อดทนรอคอยน้อยลง อารมณ์อ่อนไหวง่าย เครียดง่าย ฟุ้งซ่านง่าย ฯลฯ ซึ่งหากใครมีสิ่งเหล่านี้เกินระดับหนึ่ง ก็อาจส่งผลต่อการทำงานและการใช้ชีวิต หลายคนจึงเริ่มหาแนวทางฝึกจิตฝึกสมาธิหรือการปฏิบัติธรรม (Meditation)

สำหรับผู้เริ่มศึกษาอาจมีคำถามถึงวิธีปฏิบัติที่หลากหลายตั้งแต่ "สมถะกรรมฐาน" "วิปัสสนากรรมฐาน" ไปจนถึงเทคนิคย่อยอย่าง “อานาปาณสติ” "พุท-โธ" "สัมมา-อะระหัง" หรือ "ยุบหนอ-พองหนอ" ว่าแบบไหนจึงจะถูกทาง?

ทั้งวิปัสสนากรรมฐานและสมถะกรรมฐาน เป็นวิธีการปฏิบัติที่อยู่ในพระพุทธศาสนา บางคนอาจคิดว่าพระพุทธเจ้าคิดค้นขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่จริงๆ แล้ว “สมถะ” มีมาก่อนในหมู่พราหมณ์และโยคี

เช่น การเพ่งกสิณเพื่อเข้าฌาน และ “วิปัสสนา” ในความหมายของการปฏิบัติเพื่อเห็นความจริงหรือหลุดพ้นนั้น ก็มีความพยายามคิดค้น แต่ยังไม่มีใครสามารถหาวิธีจนทำให้ตรัสรู้ได้

พระพุทธเจ้าทรงเรียนสมถะขั้นสูงกับครูสองท่านคือ อาฬารดาบสและอุทกดาบส แต่ก็ยังไม่พ้นกิเลส จึงต้องมา “โม” เองจนค้นพบวิธีเจริญวิปัสสนาโดยใช้สมถะเป็นฐาน พิจารณารูป–นามผ่านการใช้ไตรลักษณ์ จึงเห็นว่า “สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” จนตรัสรู้ในที่สุด รวมแล้วเป็นระยะเวลา 6 ปี

สมถะคือการใช้ “สมาธิ” เช่น การเพ่งอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เพ่งลมหายใจ ไฟ หรือกสิณ เพื่อให้จิตจดจ่อและได้สมาธิระดับต่างๆ ที่เรียกว่า “ฌาณ” เป็นการมุ่งทำให้จิตมี “Power” เมื่อมีมากพอก็สามารถสร้างอิทธิฤทธิ์ให้กับจิตได้ ซึ่งความสามารถใน “สายมู” ส่วนหนึ่ง ก็เป็นผลจากการเจริญสมถะ

ผลของสมถะคือความสงบ ความตั้งมั่นของจิต จนไปถึงการระงับนิวรณ์ ระงับกิเลส หยุดความเจ็บปวด หรือความทุกข์ต่างๆ แต่โซลูชันนี้ยังมี “Bug” คือ เป็นแค่ความสงบชั่วคราว ยังไม่สามารถตัดกิเลสให้ขาดได้ เมื่อออกจากสมาธิ กิเลส ความทุกข์ หรือความเจ็บปวดก็ยังกลับมาได้

วิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ คือการใช้ “สติ บวกกับ สมาธิ” โดยการย้ายสติสมาธิไปตามรู้ในฐานกาย-เวทนา-จิต-ธรรม หรือ “สติปัฏฐาน 4” เพื่อให้เห็นความเป็นจริงจนเกิดปัญญาระดับต่างๆ ที่เรียกว่า “ญาณ” เป็นการมุ่งใช้จิต “Scan” ในระดับ “Source Code” ของกายและจิต ไม่ทำให้มีอิทธิฤทธิ์ ไม่เกิดพลังมู แต่สามารถทำให้จิตเห็นความจริงทะลุปรุโปร่ง จนเบื่อ พอแล้ว เลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว

ผลของวิปัสสนาคือการรู้วิธีตัดขาดจากกิเลสได้ถาวร ซึ่งนำไปสู่การดับภพชาติ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ซึ่งก็ทำให้ไม่ต้องรับความทุกข์อีกต่อไป

ทั้งสมถะและวิปัสสนาเป็นการฝึกจิตเหมือนกัน แต่ต่างกันที่จุดมุ่งหมาย

สมถะเป็นโมเดลทำกำไรระยะสั้น หล่อเลี้ยงให้จิตสงบและมีกำลัง ในขณะที่วิปัสสนาเป็น Exit Strategy ในกิจการชีวิต

โดยทั้งสองวิธีนี้ หากใช้เพื่อเกื้อหนุนกัน ก็จะเกิดประโยชน์ เช่น การปฏิบัติวิปัสสนาขั้นสูงเพื่อตัดกิเลสตัวท้ายๆ อย่างกามารมณ์ในระดับอนาคามี อาจต้องอาศัยพลังของสมถะร่วมกับการตามรู้ของวิปัสสนา เพื่อผลักกิเลสหลุดไปได้สำเร็จ

ทีนี้ใครเคยลองปฏิบัติมาหลายคอร์ส อาจพบความหลากหลายในเทคนิคย่อย อย่างการกำหนดสติหรือการบริกรรม

บางที่สอนกำหนดลมหายใจ “พุท-โธ” บ้าง “สัมมา-อะระหัง” บ้าง บางที่สอนกำหนดท้อง “พองหนอ-ยุบหนอ” และกำหนดตามสภาวะ “ปวดหนอ” “คิดหนอ” บ้าง เกิดสภาวะขึ้นมาก็มีทั้งให้แค่ตามดูและวาง หรือให้พิจารณาว่าอยู่ฐานใด และแต่ละอาจารย์ก็ตีความสิ่งที่เกิดขึ้นคนละฐานกันบ้าง ให้ใคร่ครวญธรรมะอย่างละเอียดบ้าง

แล้วสมัยพุทธกาลใช้เทคนิคอะไร?

ในสมัยพุทธกาล การกำหนดลมหายใจเข้า–ออกตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ไม่มีหลักฐานการใช้คำบริกรรมแบบพุท-โธ สัมมา-อะระหัง หรือพองหนอ–ยุบหนอ พระพุทธเจ้าทรงสอน “อานาปานสติ” ไว้เพียงว่า ให้รู้ลมหายใจยาว-สั้น-เข้า-ออก โดยไม่ใช้การท่องคำกำกับ แต่ใช้การ “รู้ตรงๆ” ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและมากระทบตามฐานกาย-เวทนา-จิต-ธรรม

ส่วน “พุท-โธ” และ “สัมมา-อะระหัง” ปรากฏในคำสอนครูบาอาจารย์ฝ่ายเถรวาทไทย–ลังกา-สายวัดป่า เพื่อช่วยให้จิตเกาะอารมณ์กรรมฐานง่ายขึ้น ไม่ลอยฟุ้งซ่าน และ “พองหนอ–ยุบหนอ” เป็นเทคนิคสายพม่า เพื่อให้มีจุดจับสติชัดขึ้น โดยใช้การเคลื่อนไหวของท้องเป็นฐานสติ

อย่างไรก็ตามถ้าที่ไหนให้ท่องหรือบริกรรมจนเกิดสมาธิอย่างเดียว ไม่มีการใช้สติตามรู้ โดยคำจำกัดความแล้ว จะถือเป็นสมถะไม่ใช่วิปัสสนา

ส่วนตัวผมนั้น ได้มีโอกาสเริ่มปฏิบัติจากเทคนิคยุบหนอ-พองหนอ และต่อมาได้ปรับให้เข้ากับตัวเอง โดยยังบริกรรมด้วยคำที่เราเข้าใจ แต่ตัดคำว่า “หนอ” ออก เช่น ยก-ย่าง-เหยียบ พอง-ยุบ ปวด-เมื่อย คิด ดีใจ-รำคาญใจ ฯลฯ โดยหากบริกรรมไม่ทัน หรือไม่รู้เรียกว่าอะไร ก็แค่เอาจิตไปรู้ และย้ายไปอาการที่ชัดต่อไป ซึ่งผมมองว่าเทคนิคนี้คล่องตัว และช่วยยึดสติสมาธิให้เราไม่ลอยฟุ้งได้ต่อเนื่องครับ