จี้ กสทช. ฟัน "2 ค่ายมือถือ" ลอบปักเสาสัญญาณเถื่อน เอื้อแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กมธ.สิ่งแวดล้อม บี้ กสทช. ฟัน 2 ค่ายมือถือ ลอบปักเสาสัญญาณ เอื้อแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กมธ.สิ่งแวดล้อม วุฒิสภา จี้ กสทช. เอาผิด "2 ค่ายมือถือ" ลอบปักเสาสัญญาณเถื่อน-รุกป่าชายแดน เอื้อแก๊งคอลเซ็นเตอร์-โจรสแกมเมอร์ ด้าน "ชีวะภาพ" แนะใช้ยาแรง ฟอกเงิน-ยึดทรัพย์

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นายชีวะภาพ ชีวะธรรม สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรคลื่นความถี่โทรคมนาคมบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และเมียนมา ซึ่งมีผลทำให้เกิดการติดตั้งเสา-ใช้สัญญาณในการกระทำผิดกฎหมายของอาชญากรรมข้ามชาติและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อันทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสียหาย โดยเชิญผู้แทนจากเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , กรมป่าไม้ และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าชี้แจงให้ข้อมูล

 

นายสุธีระ พึ่งธรรม ผู้อำนวยการสำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม สำนักงาน กสทช. เปิดเผยว่า ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และชายแดนไทย-เมียนมา ทั้งฝั่งปอยเปต ฝั่งท่าขี้เหล็ก ชเวโก๊กโก่ และเคเค ปาร์ค มีเสาที่ได้รับอนุญาตตั้งสถานีวิทยุคมนาคมประมาณ 2,705 ใบอนุญาต ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเพิกถอนเสาสัญญาณมาเป็นระยะ ส่วนการตั้งเสาในพื้นที่อุทยานฯนั้น ยืนยันจะเร่งตรวจสอบเพิ่มเติม เพราะก่อนหน้านี้ทางค่ายผู้ให้บริการยืนยันว่าดำเนินการเป็นไปตามเงื่อนไขใบอนุญาตมาโดยตลอด แต่เมื่อใดที่ตรวจพบก็จะดำเนินคดีทันที

ด้าน นายวรพงษ์ นิภากรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักการอนุญาตวิทยุคมนาคม 2 ชี้แจงว่า การปรับลดระดับความแรงของสัญญาณในพื้นที่ชายแดนจะมีผลกระทบกับคนไทยที่อาศัยอยู่ภายในบริเวณเสา ทำให้บางบ้านแทบจะใช้โทรศัพท์ไม่ได้เลย กลายเป็นแก้ปัญหาเก่าสร้างปัญหาใหม่ แต่จะต้องพยายามให้สมดุล เพื่อให้การใช้งานยังไปต่อได้ ซึ่งสำนักงาน กสทช. กำลังมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากสแกมเมอร์มีการปรับวิธีใช้เสาสัญญาณ จึงมีแนวทางใหม่คือจะฟ้องร้องดำเนินคดีต่อผู้ให้บริการที่ลักลอบตั้งเสาสัญญาณ ซึ่งจะโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

ขณะที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ กล่าวว่า ตนได้รับข้อมูลร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าไม้ ป่าสงวน และป่าสมบูรณ์ โดยพบว่ามี 2 ค่ายโทรศัพท์มือถือ ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ กสทช. เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบมากกว่า 1,500 จุด ในเขตป่าสงวนและเขตป่าสมบูรณ์ ซึ่งมีทั้งที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง และจำนวนมากที่ไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนตั้งแต่เมียนมา-กัมพูชา-มาเลเซีย และฝั่งลาว โดยผู้ประกอบการและ กสทช. อาจเข้าข่ายความผิดฐานบุกรุกป่า ซึ่งมีโทษสูง และอาจรวมถึงฐานฟอกเงิน เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน

ทางด้าน นายชีวะภาพ ชีวะธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้เป็น นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการสกัดกั้นเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งเกี่ยวพันทั้ง "สัญญาณโทรศัพท์" โดยเฉพาะการตั้งเสาในเขตป่าอนุรักษ์ ป่าสงวน หรือพื้นที่รับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถือเป็นความผิดชัดเจน

"วันนี้จำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มข้น เพราะการยึดถือครอบครองที่ดินป่าไม้เพื่อตั้งเสาสัญญาณผิดกฎหมาย ถือเป็นความผิดที่ต้องดำเนินการให้ครบทุกมิติ รวมถึงความผิดฐานฟอกเงิน ถ้าผู้ประกอบการรู้ว่ามีโทษถึงขั้นยึดทรัพย์ เขาก็จะเกรงกลัวและทำตามกฎหมายมากขึ้น ทั้งในมุมของการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติฯและการคุ้มครองประชาชนจากอาชญากรรมออนไลน์" นายชีวะภาพ กล่าว

ทั้งนี้ นายมังกร ศรีเจริญกูล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กสทช. มีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลการติดตั้งเสาสัญญาณ แต่ยังต้องให้ตำรวจเป็นผู้ชี้นำถึงจะรู้ว่าเสาไหนที่ปล่อยสัญญาณไปให้กับแก๊งสแกมเมอร์ จึงแนะให้ใช้อำนาจที่มีบุกไปตรวจสอบเอกสารการก่อสร้างเสา กับทาง อบต. หรือหน่วยงานในแต่ละท้องถิ่นได้ทันที โดยให้ไปขอดูว่ามีเสาต้นไหนที่ไม่ผ่าน "สามัญวิศวกร" ในการเซ็นอนุมัติแบบโครงสร้าง หรือไม่มีใบอนุญาตควบคุมงานก่อสร้างจาก "ภาคีวิศวกร" เพื่อสกัดกั้นการตั้งเสาเถื่อน อันเป็นเครื่องมือของอาชญากรรมทางเทคโนโลยี