‘เขื่อนภูมิพล’ เพิ่มการระบายน้ำ รับมือมวลน้ำก้อนใหญ่ ระลอกสุดท้าย

‘เขื่อนภูมิพล’ เพิ่มการระบายน้ำ รับมือมวลน้ำก้อนใหญ่ ระลอกสุดท้าย

สทนช. รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำ "เขื่อนภูมิพล" ปรับเพิ่มการระบายน้ำ จาก 45 เป็น 48 ล้าน ลบ.ม./วัน เพื่อรับมือมวลน้ำก้อนใหญ่ ระลอกสุดท้าย

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำ "เขื่อนภูมิพล" ปรับเพิ่มการระบายน้ำ จาก 45 เป็น 48 ล้าน ลบ.ม./วัน เพื่อรับมือมวลน้ำก้อนใหญ่ ระลอกสุดท้าย

‘เขื่อนภูมิพล’ เพิ่มการระบายน้ำ รับมือมวลน้ำก้อนใหญ่ ระลอกสุดท้าย

วันนี้ 11 พ.ย.2568 สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม ปริมาณน้ำรวม 89% ของความจุเก็บกัก (71,713 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 82% (47,590 ล้าน ลบ.ม.) การประเมินสถานการณ์แหล่งน้ำ แหล่งน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำเก็บกักน้อยกว่า 30% จำนวน 19 แห่ง ดังนี้ ภาคกลาง 3 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แห่ง ภาคตะวันออก 6 แห่ง ภาคตะวันตก 5 แห่ง และภาคใต้ 2 แห่ง

‘เขื่อนภูมิพล’ เพิ่มการระบายน้ำ รับมือมวลน้ำก้อนใหญ่ ระลอกสุดท้าย

นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ในปีนี้มีฝนตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยา มากเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2565 โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ย.ที่มีฝนตกหนักจากอิทธิพลทางอ้อมของพายุ "คัลแมกี" ส่งผลให้มีมวลน้ำระลอกใหม่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพลเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันเหลือช่องว่างรองรับน้ำอยู่เพียงประมาณ 127 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)

ที่ประชุมติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการคาดการณ์ เพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดของเขื่อนภูมิพล จากอัตราเดิม 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 48 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน 

ทั้งนี้ มวลน้ำดังกล่าวจะไหลต่อเนื่องลงสู่พื้นที่ตอนล่าง คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลผ่าน จ.นครสวรรค์ สูงสุดประมาณ 3,100 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจังหวัดอุทัยธานีและชัยนาท
 

ในส่วนของท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เริ่มเพิ่มการระบายน้ำ ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 68 จากอัตรา 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,900 ลบ.ม. ต่อวินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2554 ที่มีการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุด 3,700 ลบ.ม. ต่อวินาที

คาดว่าการระบายมวลน้ำรอบนี้จะเป็นรอบสุดท้ายของฤดูฝนปี 2568 เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ประเมินว่า ฝนในพื้นที่ตอนบนจะลดลงตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 68 และไม่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากพายุเพิ่มเติม เนื่องจากมวลความกดอากาศสูงได้แผ่เข้าปกคลุมพื้นที่ โดยฝนจะเคลื่อนตัวไปตกหนักในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น คาดว่าจะสามารถเริ่มระบายน้ำในอัตราต่ำกว่า 1,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ได้ในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 2-3 ของเดือน ธ.ค.