น้ำปิงทะลัก! หลังฝนถล่มหนัก 4 จังหวัด เช็กสถานการณ์น้ำล่าสุด

กรมชลฯ เร่งเดินเครื่องหน่วงน้ำปิงที่ทะลัก หลังฝนหนักใน เชียงใหม่-ตาก ทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาพุ่ง 2,700 ลบ.ม./วินาที เตรียมพร้อมรับมือ!
วันนี้ (5 พ.ย. 68) สถานการณ์น้ำ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยายังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ภายหลัง ฝนตกหนักต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 2 – 4 พฤศจิกายน 2568 ในพื้นที่ลุ่มน้ำปิงตอนบน ครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่, ลำพูน, ตาก, และกำแพงเพชร ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าแม่น้ำปิงสูงกว่าปกติ
กลยุทธ์ "หน่วงน้ำ" ก่อนถึงเจ้าพระยา
กรมชลประทาน ได้ดำเนินการตามแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มข้น โดยใช้ศักยภาพของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ตอนบนเพื่อชะลอน้ำไม่ให้ไหลลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างเร็วเกินไป โดยเฉพาะ:
- เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก (แม่น้ำปิง) : ทำหน้าที่กักเก็บน้ำจากแม่น้ำปิงตอนบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ (แม่น้ำน่าน): บริหารจัดการน้ำจากแม่น้ำน่าน
แม้เขื่อนภูมิพลจะช่วยหน่วงน้ำได้มาก แต่ปริมาณน้ำส่วนหนึ่ง รวมถึงน้ำจากฝนตกหนักท้ายเขื่อนภูมิพล ได้ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงตอนล่างเพิ่มสูงขึ้น และไหลไปรวมกับน้ำจากแม่น้ำน่านและแม่น้ำสะแกกรัง บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท
ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาพุ่งสูงต่อเนื่อง
ประกอบกับมีฝนตกหนักในพื้นที่ภาคกลาง ทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลล่าสุดมี ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ประมาณ 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
มาตรการเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน
เพื่อลดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กรมชลประทานได้ใช้มาตรการเชิงรุก ได้แก่:
- รับน้ำเข้าระบบชลประทาน: ผันน้ำเข้าสู่ระบบชลประทานฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกอย่างเต็มศักยภาพ
- ติดตั้งเครื่องมือ: ติดตั้งและเดินเครื่องสูบน้ำ และเครื่องผลักดันน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำส่วนเกินลงสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด
- ประสานงานร่วมกัน: ทำงานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบริหารจัดการน้ำในภาพรวม
กรมชลประทาน ยืนยันว่า จะมีการติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับแผนการระบายน้ำให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำฝนและน้ำท่าแบบวันต่อวัน เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการลดผลกระทบต่อประชาชนให้มากที่สุด







