เปิด 3 มาตรการรับมือ 'ฤดูฝุ่น' พร้อมชู Green List คุมรถบรรทุก

"ผู้ว่าฯ ชัชชาติ" เปิดมาตรการรับมือ "ฤดูฝุ่น" ปี 68 ลุยตรวจควันดำ ปรับเกณฑ์เข้มเหลือ 20% พร้อมชู "Green List" คุมรถบรรทุก
วันนี้ (3 พ.ย. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ได้เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสภาพรถยนต์ที่มีควันดำ ณ อู่รถเมล์สาธุประดิษฐ์ และวินรถสองแถว สาย 1261 เขตยานนาวา โดยระบุว่า เมื่อเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน กทม. ได้เริ่มเข้าสู่ "ฤดูฝุ่น" ซึ่งสาเหตุหลักของปัญหา PM2.5 มาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ สภาพอากาศที่ปิด ฝุ่นจากรถยนต์ดีเซล และ การเผาชีวมวล ทั้งในและรอบพื้นที่ กทม.
มาตรการคุมควันดำเข้มข้น: จาก 30% เหลือ 20%
กทม. ร่วมกับ กรมควบคุมมลพิษ ตำรวจจราจร และกรมการขนส่งทางบก ได้ยกระดับมาตรฐานการควบคุมมลพิษจากรถยนต์ โดยมีการ ปรับปรุงมาตรฐานการวัดควันดำให้เข้มข้นขึ้น โดยลดค่าการทึบแสงจากเดิม 30% เหลือเพียง 20% เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 68 คาดการณ์ว่ามาตรการใหม่นี้จะสามารถปรับปรุงคุณภาพอากาศได้ถึง 24%
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบรถที่ไม่ผ่านมาตรฐาน 21 คัน จากทั้งหมด 900 คันที่ตรวจสอบ และยังพบรถสองแถว 2 คัน ที่มีค่าการทึบแสงเกิน 30% ซึ่งถูกดำเนินการจับปรับตามกฎหมายขนส่งทางบก และต้องรีบไปแก้ไขเพื่อเข้าสู่ระบบ Green List ต่อไป
Low Emission Zone และ Green List : คุมรถบรรทุกและรถดีเซล
จากความสำเร็จของการห้ามรถบรรทุกในวงแหวนชั้นในเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ กทม. ได้ ขยายผลครอบคลุม 50 เขต โดยจะมีการประกาศใช้มาตรการ Low Emission Zone ในวันที่อากาศไม่ดี โดย รถบรรทุกเกิน 6 ล้อขึ้นไปที่ไม่อยู่ในบัญชีสีเขียว (Green List) จะไม่สามารถเข้ามาในเขตกรุงเทพฯ ได้ ซึ่งจะใช้ระบบกล้อง CCTV ออกใบสั่งอัตโนมัติ
- Green List (รถใหญ่) : รถบรรทุกที่ต้องการวิ่งในช่วงอากาศไม่ดี ต้องนำรถไปตรวจสภาพ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรอง และสมัครเข้าร่วมระบบ สำหรับรถมาตรฐานดี เช่น รถ EV หรือ Euro 5-6 จะเข้าระบบ Green List อัตโนมัติ
Green List Plus : ชวนรถส่วนบุคคลร่วมลดฝุ่น 42%
สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล 4 ล้อ กทม. ใช้มาตรการ "Green List Plus" ในลักษณะขอความร่วมมือ โดย ขอให้เจ้าของรถนำรถไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ ซึ่งจะได้รับส่วนลดจากบริษัทรถยนต์และบริษัทเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ร่วมโครงการกว่า 9 บริษัท
- ผลลัพธ์ : การทดลองพบว่า การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองสามารถลดการปล่อย PM2.5 ได้มากถึง 42%
- ระยะเวลา : โครงการมีผลตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงต้นปีหน้า ครอบคลุมทั้งรถเบนซินและดีเซล
เปลี่ยนรูปแบบการตรวจ: ตรวจที่ต้นทาง ลดปัญหาจราจร
เพื่อไม่ให้เกิดการจราจรติดขัด กทม. ได้เปลี่ยนรูปแบบการตั้งจุดตรวจควันดำ ไปสู่การตรวจสอบที่ "ต้นทาง" เช่น อู่รถเมล์ ท่าเรือ โรงงานอุตสาหกรรม และไซต์ก่อสร้าง
- ไซต์ก่อสร้าง : รถทุกคันที่เข้ามาในไซต์ก่อสร้างของ กทม. จะต้องเป็นรถที่อยู่ใน Green List เท่านั้น หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข อาจมีคำสั่งห้ามก่อสร้างหรือห้ามปฏิบัติการ
พบปัญหาเผาชีวมวลส่วนหนึ่งจาก "นครนายก"
ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าวถึงปัญหาการเผาชีวมวลว่า จุดเผาไฟในเขต กทม. สามารถควบคุมได้ค่อนข้างดี แต่ปัญหาหลักมาจากการเผาในพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะ จังหวัดนครนายก ที่มีจุดเผามากกว่า 5,000 ไร่ ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดด้านแรงงานและเศรษฐกิจของเกษตรกรในการจัดการฟางข้าว ดังนั้น การแก้ปัญหาจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการจากหลายภาคส่วนทั้งกระทรวงทรัพยากรฯ กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงคมนาคม และ กทม.
เร่งรัดแก้ไข : เสนอปรับลดเวลาแก้ไขควันดำเหลือ 3 วัน
นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. กล่าวเสริมว่า ได้มีการเสนอให้ ปรับลดระยะเวลาการแก้ไขรถที่ตรวจพบควันดำจาก 30 วัน เหลือเพียง 3 วัน หากไม่แก้ไข จะติดสีแดง "ห้ามใช้เด็ดขาด" เพื่อให้เกิดการแก้ไขอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ กทม. ยังได้เสนอขอให้ กทม. มีอำนาจเป็น เจ้าพนักงานขนส่ง เพื่อให้สามารถตรวจสอบรถป้ายทะเบียนสีเหลือง (รถโดยสารสาธารณะ) ที่มีปัญหาควันดำได้โดยตรง
ติดตามสถานการณ์ฝุ่น: คาดช่วงพีค ม.ค. 69
คาดการณ์ว่าช่วงพีคของปัญหาฝุ่นน่าจะอยู่ในช่วง เดือนมกราคม 2569 แต่สัปดาห์นี้ (6-8 พ.ย. 68) อาจพบค่าฝุ่นสีส้มได้ ประชาชนสามารถติดตามค่าฝุ่นแบบเรียลไทม์ได้ที่แอปพลิเคชัน Air BKK (สำหรับ กทม.) และ Air4Thai (ทั่วประเทศ)
เชิญชวนประชาชนที่มีรถดีเซลเข้าร่วมโครงการ Green List Plus และแจ้งรถควันดำผ่านแอปพลิเคชัน Traffy Fondue เพื่อให้ กทม. ติดตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป







