นักวิชาการ มธ.แนะรัฐใช้ 'กองทุน ยธ.' ช่วยเหยื่อน้ำร้อนลวกสู้คดี

นักวิชาการ มธ. แนะรัฐใช้ ‘กองทุนยุติธรรม’ ช่วย ‘ครอบครัวเหยื่อ’ น้ำร้อนลวกสู้คดี ชี้ผู้เสียหายฟ้องได้ทั้งแพ่ง-อาญา
KEY
POINTS
- นักวิชาการ ม.ธรรมศาสตร์ เสนอให้ครอบครัวของเด็กชายวัย 3 ขวบที่ถูกน้ำร้อนลวก ขอรับการสนับสนุนจาก "กองทุนยุติธรรม" เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี
- กองทุนยุติธรรมสามารถช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้แก่พ่อแม่ของเด็กซึ่งเป็นชาวลาวได้ เช่น ค่าเดินทาง และค่ากินอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล
- นอกจากการช่วยเหลือด้านคดี ยังมีการเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวง พม. และโรงพยาบาล เข้าไปดูแลสภาพร่างกายและเยียวยาจิตใจของเด็กอย่างเร่งด่วน
เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2568 รศ. ดร.นิรมัย พิศแข มั่นจิตร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงกรณีที่เด็กชายวัย 3 ขวบ บุตรของหนุ่มสัญชาติลาว ถูกน้ำร้อนลวกจนได้รับบาดเจ็บจากการเข้ารับการรักษาในคลินิกที่ จ.ชลบุรี ตอนหนึ่งว่า หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรจะเร่งดำเนินการช่วยเหลือเหยื่อผู้เสียหาย ทั้งด้านร่างกาย สภาพจิตใจ และการอำนวยความสะดวก ตลอดจนความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรื่องไปถึงชั้นศาล ในระหว่างของการต่อสู้คดีความพ่อแม่ของเด็กซึ่งเป็นชาวลาวก็ควรจะได้รับการสนับสนุนเงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี เช่น ค่ากิน ค่าเดินทางระหว่างไปศาล หรืออื่นๆ โดยทางญาติสามารถติดต่อไปที่สำนักงานกองทุนยุติธรรม สังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอรับการสนับสนุนได้ หรือทางกองทุนฯ ก็สามารถติดต่อทางญาติเพื่อเข้าไปให้การช่วยเหลือได้เช่นกัน
นอกจากนี้ เรื่องการดูแลสภาพร่างกาย โรงพยาบาลควรจะเข้าไปดูแลการรักษาร่างกายของเด็กถึงที่บ้าน หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ควรจะส่งนักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาเด็กเข้าไปดูสภาพจิตใจของเด็กผู้เสียหายอย่างรวดเร็วและใกล้ชิด เพราะทราบว่าปัจจุบันเด็กชายสภาพจิตใจค่อนข้างแย่มาก เห็นน้ำร้อนแล้วมีอาการหวาดผวา สิ่งเหล่านี้ คือการสร้างความเป็นธรรมให้กับเหยื่อที่หน่วยงานรัฐสามารถทำได้
(รศ. ดร.นิรมัย พิศแข มั่นจิตร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ.)
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า ช่องว่างที่ทำให้การกำกับดูแลสถานพยาบาล โดยเฉพาะคลินิกเอกชน อาจจะยังไม่ทั่วถึง คืออายุของใบอนุญาตที่นานหลายปี รวมถึงการสุ่มตรวจของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ที่จะดำเนินการตามข้อร้องเรียนเท่านั้น ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ประชาชนชนต้องช่วยกันสอดส่องการให้บริการในคลินิก หรือสถานพยาบาลต่างๆ หากพบความผิดปกติในการรักษาของแพทย์ สามารถร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่มีบทบาทในการกำกับ ควบคุม เพื่อเข้าดำเนินการตรวจสอบตามขั้นตอนทางกฎหมาย ได้แก่ สบส. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ในจังหวัดที่ตนเข้ารับบริการ แพทยสภา รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ทันที ผ่านช่องทางสายด่วน เบอร์โทรติดต่อ หรือ อีเมล์ของแต่ละหน่วยงาน
รศ. ดร.นิรมัย กล่าวอีกว่า จากกระแสสังคมที่มีการเรียกร้องให้สั่งปิดคลินิกดังกล่าวเป็นการถาวร หรือถอดถอนใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์ที่ทำการรักษาเด็กชายวัย 3 ขวบ ซึ่งตาม พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หากจะดำเนินการถึงขั้นปิดคลินิกเป็นการถาวร จะทำได้ต่อเมื่อทางหน่วยงานที่เข้าไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีความผิด ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และได้สั่งให้ดำเนินการหรือเตือนให้แก้ไขแล้ว แต่กลับไม่มีการแก้ไขปรับปรุง ยังคงกระทำเหล่านั้นต่อไป ตรงนี้จึงจะเข้าสู่เงื่อนไขของการถูกสั่งให้ปิดสถานพยาบาลได้เป็นการถาวร
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ปัจจุบันจึงอาจจะไม่สามารถสั่งปิดคลินิกที่ปรากฏตามข่าวได้ทันที แต่คงจะต้องใช้ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้ดำเนินการแก้ไข แต่หากไม่มีการแก้ไข ก็จะเป็นเหตุให้สามารถเพิกถอนได้ หรืออีกกรณี หาก สบส. ตรวจสอบแล้วเห็นว่าคลินิกมีการให้บริการที่มีลักษณะร้ายแรงจนกระทั่งส่งผลกระทบกระเทือนต่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วยรายต่อไป ก็จะเป็นอีกเหตุให้สามารถสั่งปิดได้ตามที่กฎหมายกำหนด
(ผศ.ดร.ตามพงศ์ ชอบอิสระ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ.)
ขณะที่ ผศ. ดร.ตามพงศ์ ชอบอิสระ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ผู้เสียหายจากเหตุการณ์สามารถดำเนินการฟ้องร้องได้ทั้งทางแพ่งและทางอาญา การฟ้องร้องทางแพ่งจะทำให้ผู้ฟ้องร้องได้รับการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้ผู้เสียหายจะฟ้องร้องทางอาญาได้แต่โดยปกติคดีเกี่ยวข้องกับการรักษาของแพทย์มักจะเป็นการฟ้องร้องทางแพ่งเป็นหลัก ไม่ค่อยปรากฏการฟ้องร้องทางอาญาบ่อยนัก แม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้ห้ามก็ตาม
“ผมเห็นว่าเข้าข่ายที่จะฟ้องร้องทางอาญาได้ ซึ่งเท่าที่ประเมินจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสื่อมวลชน การกระทำของแพทย์อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดทางอาญาต่อร่างกาย ซึ่งก็คงต้องตามดูผลการรักษาของเด็กชายผู้เสียหายอีกครั้งว่าเข้าข่ายอันตรายสาหัสหรือไม่ ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้จะส่งผลต่อระดับของความรับผิดตามกฎหมาย และต้องดูด้วยว่าการกระทำของแพทย์เป็นการกระทำโดยเจตนาหรือประมาท โดยส่วนตัวเชื่อว่าแพทย์คงไม่ได้ต้องการจะทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แต่จะเป็นกรณีของการเล็งเห็นได้ว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายผู้เสียหายหรือไม่ คงต้องรอติดตามผลการสอบสวนจากทางแพทยสภาอีกครั้ง” ผศ. ดร.ตามพงศ์ กล่าว
ผศ.ดร.ตามพงศ์ กล่าวด้วยว่า ข้อจำกัดประการหนึ่งของการควบคุมมาตรฐานการให้บริการของแพทย์ คือ การไม่มีกลไกที่ชัดเจนในการตรวจสอบความพร้อมของแพทย์ในการให้การรักษาเมื่อได้รับใบประกอบวิชาชีพฯ ไปแล้ว เพราะไม่มีการต่ออายุใบประกอบวิชาชีพฯ แตกต่างจากหลาย ๆ วิชาชีพที่กำหนดให้มีการต่ออายุใบประกอบวิชาชีพเป็นระยะ ๆ ทำให้แพทย์หนึ่งคนสามารถปฏิบัติหน้าที่เป็นระยะเวลานาน และทำให้แพทย์อาจไม่ได้รับการตรวจสอบถึงความพร้อมในการให้การรักษา รวมถึงอาจไม่ได้ทบทวนความรู้หรือติดตามความเคลื่อนไหวทางวิชาการที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
นักวิชาการธรรมศาสตร์ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนตัวติดตามเรื่องนี้มาซักพัก ทำให้ทราบว่าได้มีความพยายามผลักดันเรื่องการต่ออายุใบประกอบวิชาชีพฯ มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ซึ่งบุคลากรในวงการแพทย์เข้าใจปัญหานี้เป็นอย่างดี และมีความพยายามในการขับเคลื่อนเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ที่ผ่านมาอาจติดขัดปัญหาหลายประการ รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองด้วย ส่งผลให้การแก้ไขเรื่องดังกล่าวยังไม่สำเร็จลุล่วง







