ฟ้องหมิ่นฯ ไม่ใช่ฟ้องปิดปาก แต่เพื่อเปิดพื้นที่ให้ความจริงได้พิสูจน์ในศาล

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารถูกส่งต่อกันอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ข่าวหรือโพสต์ที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบอาจกลายเป็นไวรัล และนำไปสู่การตัดสินโดย “ศาลโซเชียล”
ศาลโซเชียลสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของบุคคลและองค์กรได้ในพริบตา ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญของสังคมยุคดิจิทัล ที่ “กฎหมู่” กำลังกลบเสียงของ “กฎหมาย” อย่างน่ากังวล
กรณีเอกชนรายหนึ่งถูกกล่าวหาและตราหน้าว่าเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ จนกลายเป็นกระแสในสังคมและถูกตัดสินไปแล้วในโลกออนไลน์ ทั้งที่ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏครบถ้วน
เป็นตัวอย่างชัดเจนของความเสียหายที่เกิดจากการใช้โซเชียลที่เป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึก โดยไม่คำนึงถึงข้อยุติในพยานหลักฐานหรือกฎหมาย
การที่เอกชนรายนี้ตัดสินใจฟ้องคดี “หมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” มิได้เป็นการจำกัดเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น แต่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อปกป้องชื่อเสียงและสิทธิของตนเองอย่างชอบธรรม
สิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป องค์กรภาคประชาสังคม หรือแม้แต่บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ทุกฝ่ายมีสิทธิที่จะปกป้องตนเองจากการถูกใส่ร้าย
การฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทในลักษณะนี้จึงไม่ใช่การ “ฟ้องปิดปาก” หรือ “SLAPP” (Strategic Lawsuit Against Public Participation) หรือการฟ้องโดยไม่สุจริตอย่างที่บางฝ่ายพยายามชี้นำ
แต่เป็นการดำเนินการภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
ความเสียหายต่อชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องเล็ก โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นกับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ย่อมส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ ความไว้วางใจจากคู่ค้า และภาพลักษณ์ในระดับสากล
เมื่อสังคมตัดสินไปแล้วจากข้อมูลเพียงด้านเดียว การฟ้องร้องจึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำความขัดแย้งกลับเข้าสู่กรอบของกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเป็นธรรม
การฟ้องคดีอาญาในลักษณะนี้ไม่ได้หมายถึงการฟ้องปิดปาก (SLAPP) อย่างที่บางฝ่ายพยายามชี้นำ หากแต่เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้นำพยานหลักฐานเข้าสู่ศาล เพื่อให้ข้อเท็จจริงได้รับการพิสูจน์โดยกลไกยุติธรรม ไม่ใช่โดยอารมณ์หรือกระแสสังคม
กฎหมายของบ้านเมืองเราก็มีกลไกป้องกันการฟ้องโดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161/1 ที่บัญญัติไว้ว่า
“ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ หากความปรากฏต่อศาลเองหรือมีพยานหลักฐานที่ศาลเรียกมาว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลยหรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ ให้ศาลยกฟ้อง และห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องในเรื่องเดียวกันนั้นอีก... ”
ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลตรวจสอบความสุจริตของผู้ฟ้อง หากเห็นว่าการฟ้องมีเจตนากลั่นแกล้งหรือไม่สุจริต
ศาลสามารถสั่งไม่รับฟ้อง ยกฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบได้ กฎหมายข้อนี้เป็นเครื่องมือป้องกันการใช้กระบวนการยุติธรรมในทางที่ผิด หรือกลั่นแกล้งกันโดยไม่มีเหตุผล และไม่สุจริต
ในทางกลับกัน หากคดีได้รับการพิจารณาและยื่นฟ้องโดยพนักงานอัยการ ย่อมหมายความว่าคดีนั้นผ่านการกลั่นกรองจากเจ้าหน้าที่รัฐมาแล้วว่ามีมูลเพียงพอ ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงความสุจริตของผู้เสียหายในการใช้สิทธิตามกฎหมาย
ทราบว่าคดีนี้มีการเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท จะว่าสูงก็สูง จะว่าไม่สูงก็ไม่สูง เมื่อเทียบกับมูลค่าทางธุรกิจของบริษัท ที่ได้รับผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในสังคม
ความเสียหายดังกล่าวต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าการหมิ่นประมาทดังกล่าวมีความเสียหายถึงขนาดที่จะต้องได้รับค่าเสียหายตามจำนวนที่ฟ้องมา
ซึ่งค่าเสียหายนั้นอาจจะต้องใช้ในการประชาสัมพันธ์ถึงคำพิพากษาและความจริงที่ถูกต้อง การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่สังคม สิ่งเหล่านี้มีค่าใช้จ่าย
การฟ้องหมิ่นประมาทในกรณีนี้จึงเป็น การนำความขัดแย้งที่ถูกตัดสินไปแล้วโดยสาธารณะ กลับเข้าสู่กรอบของกฎหมาย เพื่อแสวงหาความจริงที่เที่ยงธรรมและสมดุลระหว่างสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเพื่อสาธารณะกับความรับผิดชอบต่อข้อเท็จจริง
การใช้ศาลเป็นกลไกในการพิสูจน์หลักฐานและข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส คือหนทางเดียวที่สอดคล้องกับหลักการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เป็นทางออกที่ชอบธรรมที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในสังคมที่ข้อมูลข่าวสารถูกบิดเบือนได้ง่ายดายในชั่วพริบตา.







