แมนยู ฟอร์มแรง ชนะ 3 นัดรวด 'ลิเวอร์พูล' โคม่า แพ้ 4 เกมติดในพรีเมียร์ลีก

วิเคราะห์บอล ดูบอลสด ผลบอลล่าสุด “ปีศาจแดง” แมนยู ของ รูเบน อโมริม ฟอร์มสุดร้อนแรง ชนะ 3 นัดรวด ส่วนคู่รักคู่แค้นอย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล อาการโคม่า หลังแพ้ 4 เกมติดในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ผลบอลล่าสุด “ปีศาจแดง” แมนยู ของ รูเบน อโมริม ฟอร์มสุดร้อนแรง ชนะ 3 นัดรวด ส่วนคู่รักคู่แค้นอย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล อาการโคม่า หลังแพ้ 4 เกมติดในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อ่านบทวิเคราะห์บอล ดูบอลสด MONOMAX
“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงโชว์ฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่อง หลังเปิดสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ถล่ม ไบรท์ตัน 4-2 ในศึกพรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา เก็บชัยชนะในลีก 3 นัดติดต่อกันได้สำเร็จ ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม
เกมนี้ มาเตอุส คุนญ่า ทำประตูแรกในสีเสื้อผีแดงได้สำเร็จ ส่วนกัปตันทีม บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงสนามครบ 300 นัดพอดีในสีเสื้อแมนยู
“อโมริม” มีการปรับทีมเพียงเล็กน้อย โดยส่ง เลนี่ โยโร่ แทน แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่บาดเจ็บ ขณะที่ เบนจามิน เชชโก้ กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง
ฟากทีมเยือน ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ เปลี่ยนผู้เล่นเพียงตำแหน่งเดียว โดยส่ง มักซิม เดอ ไคเปอร์ ลงแทน ดีเอโก้ โกเมซ พร้อมได้ แดนนี่ เวลเบ็ค อดีตแข้งผีแดง ลงล่าตาข่ายอีกครั้ง หลังเพิ่งยิงสองประตูใส่ นิวคาสเซิ่ล
เริ่มเกม นาทีที่ 24 คุนญ่า ซัดไกลสุดสวยให้แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ 1-0 และนาทีที่ 34 กาเซมีโร่ มาบวกเพิ่มอีกหนึ่ง ช่วยให้เจ้าถิ่นนำ 2-0 ก่อนจบครึ่งแรก แม้จะครองบอลน้อยกว่า (42% ต่อ 58%)
ครึ่งหลัง “แมนยู” ยังคุมเกมไว้ได้ดี ก่อนที่ เอ็มเบอโม่ จะยิงหนีเป็น 3-0 ในนาทีที่ 61 แต่ เวลเบ็ค ยิงตีตื้นขึ้นมาจากลูกฟรีคิกสุดงาม นาทีที่ 74 ไล่มาเป็น 3-1 และทีมเยือนยิงไล่ 3-2 ช่วงทดเวลา นาทีที่ 90+2 แต่สุดท้าย เอ็มเบอโม่ มายิงหนีห่างอีกรอบ ทำให้จบเกม แมนยู ชนะ 4-2
ชัยชนะนัดนี้ทำให้ “ปีศาจแดง” ยืดสถิติ ไม่แพ้เมื่อออกนำในครึ่งแรกที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นเกมที่ 327 ติดต่อกัน (ชนะ 302 เสมอ 25) พร้อมเก็บ 9 แต้มเต็มจาก 3 นัดหลังสุดในลีก
ผลบอลพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล แพ้ เบรนท์ฟอร์ด 2-3 แพ้ในลีก 4 นัดติด เก็บได้ 0 แต้ม
อีกคู่สำคัญในค่ำคืนเดียวกัน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ของ อาร์เน่อ สล็อต ต้องพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง หลังบุกไปแพ้ เบรนท์ฟอร์ด 2-3 ทำให้แพ้ในพรีเมียร์ลีก 4 นัดติดต่อกัน และยังคงมีปัญหาเกมรับอย่างต่อเนื่อง
เบรนท์ฟอร์ด ภายใต้การคุมทีมของ คีธ แอนดรูว์ส ส่ง 3 อดีตแข้งหงส์แดงลงสนามพร้อมกัน ได้แก่ เควิน เคลเลเฮอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เซ็ปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ส่วน ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ เป็นสำรอง
ลิเวอร์พูล ขาด อเล็กซานเดอร์ อิซัก และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ที่มีอาการบาดเจ็บ ทำให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลับมาเป็นตัวจริงในลีกนัดที่ 50 ติดต่อกัน ส่วนแบ็คขวาเป็น คอเนอร์ แบรดลีย์ เนื่องจาก เจเรมี่ ฟริมปง เจ็บ
เกมเริ่มได้เพียง 5 นาที ลิเวอร์พูลเสียประตูจากลูกทุ่มไกล ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญของทีม เป็นเกมที่ 6 ติดต่อกันที่พวกเขาโดนยิงก่อน และเป็นประตูที่ 8 จากลูกทุ่มของเบรนท์ฟอร์ด นับตั้งแต่ฤดูกาลก่อน ซึ่งไม่มีทีมใดในลีกทำได้มากกว่า
เบรนท์ฟอร์ดนำ 2-0 จากลูกยิงของ เควิน ชาเด้อ ก่อนที่ มิลอส เคอร์เคซ จะยิงตีไข่แตกให้ลิเวอร์พูลในช่วงทดเวลาครึ่งแรก ไล่มาเป็น 2-1
ครึ่งหลัง นาทีที่ 60 ลิเวอร์พูลเสียจุดโทษจากจังหวะที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ และเป็น อิกอร์ ติอาโก้ ยิงไม่พลาด หนีเป็น 3-1 ก่อนที่ ซาลาห์ จะมายิงไล่เป็น 3-2 ในนาทีที่ 89
ลิเวอร์พูลเสียไปแล้ว 14 ประตูจาก 9 นัด ซึ่งเท่ากับจำนวนที่พวกเขาเคยเสียหลังผ่านไป 16 นัดในซีซั่นก่อน สะท้อนปัญหาเกมรับที่ยังแก้ไม่ตก
ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี (นับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2021) ที่ “หงส์แดง” แพ้ในลีก 4 นัดติด
ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก อังกฤษล่าสุด "แมนยู" อันดับ 4 "ลิเวอร์พูล" อันดับ 6







