“เจนนี่ทะเลาะกับแม่ และ เศรษฐศาสตร์โนเบล”

เจนนี่ขายของอย่างไร จึงได้หลายร้อยล้าน คนทั้งเมืองรับรู้กันหมดแล้ว
แต่ผมไม่คุยเรื่องเจนนี่ขายของครับ ผมจะคุยเรื่อง“เจนนี่ทะเลาะกับแม่”
ในมุมมองเศรษฐศาสตร์ ผมว่าเรื่องนี้โยงกับผลงานของนักเศรษฐศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบลปี 2025 ที่เพิ่งประกาศผลเมื่อวันจันทร์นี้ ได้เลยนะครับ
เจนนี่เล่าในรายการหนึ่งว่า ขณะที่เธอกำลังไลฟ์ขายของอยู่นั้น เธอทะเลาะกับแม่ ทะเลาะไป ก็ร้องไห้ไป และขายของไปด้วยแล้วเหตุการณ์นั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้ผู้ชมสนใจเธอมากขึ้น ยอดขายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในเวลาสั้นๆ ทั้งดาราและแม่ค้าออนไลน์ แห่ไปที่บ้านเธอ เพื่อรอคิวไลฟ์ขายของ ได้เวลาคนละเพียงไม่กี่นาที ลูกค้าก็หนาแน่น ไลฟ์กันยันสว่าง ขายได้หลายร้อยล้านกลายเป็นปรากฏการณ์ที่คนทั้งประเทศพูดถึง
เจนนี่เล่าต่อว่า คุณแม่เธอมีหนี้สินมาก เธอก็คอยชดใช้ให้มาเรื่อยๆ แต่มาถึงจุดหนึ่ง เลยคิดว่าถ้าเลิกใช้หนี้ให้แม่ซะ แม่ก็คงจะเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ไปสร้างหนี้เพิ่มอีก
ผมฟังแล้วเห็นว่า นี่แหละ…คือตัวอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Creative Destruction” หรือ “การทำลายอย่างสร้างสรรค์”
แนวคิดนี้เป็น “แก่นแท้” ของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปีนี้เลยครับ!
นักเศรษฐศาสตร์ 3 คนที่ได้รับรางวัลปีนี้คือJoel Mokyr แห่ง Northwestern Universityซึ่งเป็นสถาบันเดียวกับที่ผมเคยไปเรียน อีกท่านคือPhilippe Aghion ก็จบปริญญาเอกจาก Northwestern เช่นกัน สุดท้ายคือPeter Howitt จาก Brown University
แต่เพื่อให้เข้าใจง่าย ผมพาคุณย้อนเวลาไปพบกับนักเศรษฐศาสตร์ ระดับตำนานอีกคนหนึ่งครับ ชื่อว่าJoseph Schumpeter
ชุมปีเตอร์อธิบายไว้เมื่อปี 1942 ว่า “ระบบทุนนิยม” จะพัฒนาเสมอ เพราะนวัตกรรมใหม่ ๆ จะเข้ามาแทนของเดิม ของเก่าจะ “หายไป” เปิดทางให้ของใหม่เกิดขึ้น
เขาเชื่อว่านี่คือ “กลไกธรรมชาติ” ของระบบทุนนิยม ที่จะทำให้สังคมก้าวหน้าและเกิดนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
นึกออกไหมครับ รถไฟมารถม้าก็หายไปกล้องดิจิทัลมากล้องฟิล์มก็หายไปโทรศัพท์มือถือมาโทรศัพท์บ้านก็หมดไปเป็นต้น
เขาเรียกกระบวนการนี้ว่า “Creative Destruction” หรือ“การทำลายอย่างสร้างสรรค์”เพราะแม้ของเก่าจะเจ็บปวด แต่ก็ทำให้สังคมก้าวหน้า และนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นต่อเนื่อง
แต่นักเศรษฐศาสตร์โนเบล 2025 บอกว่า “มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเสมอไป”
เพราะในความเป็นจริง ของเก่ามักไม่ยอมถูกทำลายง่าย ๆ คนที่ได้ประโยชน์จากระบบเดิม กลัวว่าของใหม่จะกระทบผลประโยชน์ จึง “ต้าน” ไม่ให้ของใหม่เกิดขึ้น
ผลคือ นวัตกรรมสะดุด หรือเกิดขึ้นช้ากว่าที่ควร ทั้งสามท่านจึงเสนอว่า “การทำลายอย่างสร้างสรรค์” จะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต้องมีวิธีการ“บริหารแรงต้าน”ให้ดีเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่พังทั้งระบบ
เช่น การป้องกันการผูกขาดอย่างเข้มงวด ลดอุปสรรคการเข้าสู่ตลาดของธุรกิจรายใหม่ สนับสนุนการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ส่งเสริมทุนเล็กให้เข้าถึงเงินทุน เทคโนโลยี และการตลาด ฯลฯ
สรุปคือการสร้างสนามแข่งขันที่ยุติธรรม สร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการรายใหม่กล้าลงทุน และไม่ปล่อยให้เจ้าเก่าสามารถ “ดึงบันไดขึ้น” หลังจากตัวเองปีนไปถึงยอดแล้ว เป็นต้น
เมื่อของใหม่ได้พื้นที่มากขึ้น นวัตกรรมและการเติบโตก็จะตามมา
“การทำลายอย่างสร้างสรรค์” ก็ประมาณนี้แหละครับ เมื่อมาถึงตรงนี้ คุณคงเข้าใจเศรษฐศาสตร์โนเบล 2025 มากพอสมควรแล้วใช่ไหม
คราวนี้กลับมาเรื่องเดิม ที่เจนนี่ทะเลาะกับคุณแม่แน่นอนว่าเธอไม่ได้คิดถึงทฤษฎีนี้หรอก แต่ผมเห็นว่ามันเป็นตัวอย่างที่เข้าใจง่ายคือการหยุดชำระหนี้แทนคุณแม่นั้น เหมือนตั้งใจจะ “ทำลายอย่างสร้างสรรค์”
เพราะเธอหวังว่าจะได้เกิด พฤติกรรมใหม่ที่ดีกว่า คือการมีวินัยทางการเงิน และไม่สร้างหนี้เพิ่ม ถึงแม้ทำแล้วเจ็บ แต่ก็จำเป็นต้องทำ ด้วยความหวังว่าสิ่งที่ตามมา จะเป็นสิ่งที่ดี
เป็น “Creative Destructionฉบับชีวิตจริง” ก็ว่าได้ครับ
ประเทศไทยเราเอง ก็เคยผ่านกระบวนการ “ทำลายอย่างสร้างสรรค์” แบบนี้มาแล้ว เมื่อวิกฤติต้มยำกุ้งปี 1997
บริษัทเงินทุนถูกปิดไป 56 แห่ง ธนาคารหลายแห่งต้องควบรวมกิจการ ธุรกิจต้องปรับตัวครั้งใหญ่ มันคือ Creative Destruction ที่เจ็บปวดมาก
แต่ผลที่ตามมาคือ สถาบันการเงินไทยเรา แข็งแรงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น เกิดขึ้นได้เพราะในขณะนั้น เราพังกันทั้งระบบจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม วันนี้สังคมไทยก็ยังมี “แรงต้านจากของเก่า” อยู่มากพอสมควรครับ
ข้าราชการบางหน่วย กลัวเสียอำนาจ ก็ไม่อยากให้ระบบใหม่ๆเข้ามา หรือนักการเมืองบางกลุ่ม สกัดนักการเมืองดีๆ ที่อาจจะไปขัดขวางผลประโยชน์ของพวกเขา จนทำให้คนดีหลายคนไม่กล้าเข้าทำงานการเมือง เป็นต้น
ทั้งหมดนี้แหละครับ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์โนเบลปีนี้พูดว่า แรงต้านจากของเก่า ทำให้ของใหม่เกิดยากและโตช้า
แม้เราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลง “ระบบใหญ่“ บางอย่างได้ในชั่วข้ามคืน แต่เราทุกคนก็สามารถเริ่ม “การทำลายอย่างสร้างสรรค์” ได้ในระดับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในหน่วยงาน ธุรกิจ หรือแม้แต่ในชีวิตส่วนตัว
สำหรับดราม่าของน้องเจนนี่นั้น เราคงไม่ทราบหรอกว่าตอนนี้คุณแม่ของเธอยังมีหนี้หรือหมดหนี้ไปแล้วแต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นครับ ประเด็นหลักของผมก็คือ…
เรากล้าพอไหม ที่จะทำลายวิธีคิด วิธีทำงานที่ล้าสมัย ซึ่งฉุดเราไว้ตลอดมา เพื่อจะได้เร่งสร้างของใหม่ที่ดีกว่า ให้เกิดขึ้นในเร็ววัน







