นักการเมืองใช้ ‘พระเครื่อง’ ฟอกเงินอย่างไร

จากกรณีที่มีวิวาทะระหว่างสองเซียนพระระดับประเทศ เกี่ยวกับความแท้เก๊ของเหรียญหลวงปู่ทวด สร้างความสนใจให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้นิยมพระเครื่องจำนวนมาก
หนึ่งในคำถามที่ประชาชนสงสัยก็คือ ขนาดเซียนระดับประเทศก็ยังตีความไม่เหมือนกัน แล้วประชาชนทั่วไปจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัดความจริงแท้ โดยเฉพาะ “พระสมเด็จ” ที่ถือเป็นจักรพรรดิของพระเครื่องที่มีราคาสูงที่สุด
มีคำพูดที่สัพยอกกันว่า ถ้าเป็นพระในมือเซียน เขาถือว่าแท้ ถ้าอยู่ในมือชาวบ้านถือว่าเก๊ คำพูดของเซียนพระที่มักถูกหยิบยกมาเพื่อปฏิเสธการรับซื้อพระก็คือ เนื้อไม่ใช่ พิมพ์ไม่ถูก จนอาจารย์ที่รับตรวจพระบางคนพูดว่า ตัวเขาเองไม่เคยเห็นการซื้อขายพระสมเด็จระดับล้านบาทขึ้นไป มีแต่เห็นหลักหมื่นหลักแสน นี่ขนาดคนที่คลุกคลีกับพระสมเด็จโดยตรง ยังออกมายืนยันแบบนั้น
ต้องเข้าใจก่อนว่า พระเครื่องมีราคา หากตีความว่าแท้ ราคาก็สามารถขึ้นไปเป็นหลักล้าน หรือ 10 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นพระเก๊ ราคาก็จะลดลงเหลือแค่หลักสิบ หลักร้อยบาทเท่านั้นเอง
ด้วยวิธีการประเมินราคาที่แตกต่างกัน ขึ้นกับดุลยพินิจของแต่ละคนนั้น จึงทำให้มูลค่าของพระเครื่องจำนวนมากมีความคลุมเครือ ทำให้ง่ายต่อการถูกนำไปบิดเบือนมูลค่าได้ จึงเป็นที่มาของการนำพระเครื่องมาใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน
อีกทั้งด้วยความที่พระเครื่องมีขนาดเล็กพกพาไปไหนได้ง่าย ทำให้สะดวกในการยักย้ายถ่ายเท การซื้อขายก็ไม่มีใบเสร็จ ส่วนใหญ่ไม่เสียภาษี จึงสามารถกล่าวอ้างได้ง่ายว่า ได้พระเครื่องมาจากคนนั้นคนนี้ โดยไม่ต้องแสดงหลักฐานอะไร ผู้เขียนทราบถึงธรรมเนียมปฏิบัติและวิธีการที่นักการเมืองใช้พระเครื่องฟอกเงิน จากคำบอกเล่าของเซียนอาวุโสหลายท่าน ดังนี้
1.เปลี่ยนพระราคาหลักหมื่นให้เป็นหลักล้าน
วิธีนี้นักการเมืองจะใช้มากที่สุด โดยการแจ้งทรัพย์สินก่อนเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองว่า มีพระเครื่องราคาแพงหลักล้านบาท ทั้งที่ในความเป็นจริงเช่ามาหลักพันบาทหรือหมื่นบาทเท่านั้น วันหนึ่งเมื่อหมดวาระทางการเมือง มีเงินเพิ่มขึ้นมา 10 ล้านบาท ก็แจ้งว่าได้ขายพระสมเด็จออกไปในราคา 10 ล้านบาท
สิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องระบุผู้ซื้อได้ถูกต้อง ลำดับเหตุการณ์ได้เหมือนจริง และผู้รับซื้อที่มาเป็นตัวประกอบก็ต้องให้ความไปในทางเดียวกัน (กรณีที่ถูก ป.ป.ช. ตรวจสอบ) และเพื่อความแนบเนียนก็ต้องถ่ายรูปพระเครื่องเอาไว้ เลือกองค์ที่สวยงามคมชัดที่จะตีราคาเป็นหลักหมื่นหรือหลักล้านก็ได้
นักการเมืองชื่อดังหลายคนจึงมีพระเครื่องนับสิบองค์ เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินเมื่อหาใบเสร็จไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การแจ้งขายพระออกไปจำนวนมากในเวลาเพียงแค่หนึ่งวาระ 4 ปีหรือน้อยกว่านั้น ก็อาจจะผิดสังเกตได้จึงต้องดูสถานการณ์ให้ดี
2.ใช้เจ้าสัวร่วมมือ
เซียนอาวุโสเล่าให้ฟังว่า ในอดีตที่มีข่าวว่าเจ้าสัวคนนั้นคนนี้ซื้อพระเครื่องจากนักการเมืองอาวุโสเป็นเงินนับร้อยล้านบาท ข้อเท็จจริงอาจเป็นว่า เจ้าสัวไม่ได้ใช้เงินตัวเองซื้อแต่มีผู้รับเหมาที่ได้รับสัมปทานจากนักการเมืองนำเงินสดไปให้เจ้าสัว แล้วเจ้าสัวก็นำเงินนั้นไปซื้อพระ มีการส่งมอบพระและเงินกันจริงๆ เงินที่นักการเมืองได้รับก็ถูกฟอกให้ขาวสะอาดในทันที
ถามว่าแล้วเจ้าสัวได้อะไรเป็นการตอบแทน เซียนพระอาวุโสเล่าว่า เจ้าสัวก็คิดค่าบริการ 3-5% เช่น ราคา 100 ล้านบาท เจ้าสัวได้ค่าคอมมิชชัน 5 ล้านบาท แล้วอาจใช้เงินนั้นในการซื้อพระองค์นั้นมาแทน
ด้วยต้นทุน 5 ล้านบาทที่ได้รับมาฟรีๆ แต่ภาพที่ออกไปคือพระมีมูลค่า 100 ล้านบาท ส่วนตัวเจ้าสัวเองก็ยังสามารถดึงเงินในระบบออกมานับร้อยล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินใต้โต๊ะในกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป
อันนี้ก็ฟังหูไว้หู เซียนพระอาวุโสตอกย้ำด้วยความมั่นใจว่ามีแบบนี้จริง แต่ปัจจุบันเขาอาจจะใช้นอมินี หรือตัวแทนอำพรางออกหน้าในการขายพระแทน ท้ายที่สุด เงินก้อนใหญ่ก็ถูกผ่องถ่ายไปให้นักการเมืองอยู่ดี
3.อ้างเป็นนายหน้าซื้อขายพระ
ด้วยความที่มูลค่าพระอาจจะถูกอุปโลกน์ขึ้นมากันง่ายๆ ดังนั้น ไม้ตายหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เมื่อจวนตัว ก็อ้างว่าได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายพระเป็นเงิน 10 ล้านบาท โดยพระเครื่ององค์นั้น(หรือหลายองค์) อาจจะซื้อขายกันในราคารวมๆ 50 ล้านบาท ได้ค่านายหน้า 20%
แล้วก็หาเซียนพระรายใหญ่ชื่อดังมาสมอ้าง ว่ามีการซื้อขายกันจริง เรื่องนี้ทาง ป.ป.ช.ไม่ค่อยยอมรับ เพราะดูเหมือนจะได้มาง่ายเกินไป แต่มันก็เป็นประเด็นคลุมเครือที่ ป.ป.ช.เองก็ไม่กล้าปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้
4.เช่าพระพิมพ์นิยม เก็บแทนเงินสด
ในกรณีที่มีพระบางรุ่นเป็นพระยอดนิยมที่มีราคาซื้อขายในท้องตลาดชัดเจน การดูตำหนิเนื้อพิมพ์ทำได้ง่าย ทุกค่ายใช้เกณฑ์เดียวกัน นักการเมืองบางคนอาจเช่าพระเหล่านี้องค์ละ 100,000 บาท เก็บไว้สัก 30 องค์ แจกจ่ายให้หัวคะแนนแล้วหัวคะแนนก็นำไปแลกเงินได้ในราคาที่มาตรฐาน เพราะทุกค่ายรับซื้อราคาเดียวกันหมด
มีนักวิชาการหลายคนพยายามเรียกร้องให้กรมสรรพากรเข้ามาจัดระเบียบโดยการเรียกเก็บภาษี โดยเฉพาะคนที่อ้างว่าขายพระได้หลักล้านบาท ต้องไปไล่เบี้ยว่าต้นทุนเขาเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ ต้องเสียภาษีไหม
แต่ก็อีกนั่นแหละเซียนพระมักจะอ้างว่า พอทีเขาเช่ามาราคาเป็นล้าน แต่เมื่อตรวจสอบแล้วเป็นของเก๊เหลือมูลค่าหลักร้อยบาท ก็ไม่เห็นว่ากรมสรรพากรจะมาช่วยรับผิดชอบความเสียหายตรงนั้น เพราะฉะนั้นอย่ามองว่า เขาจะมีรายได้สูงอย่างเดียว ต้องมองว่าเขาก็มีโอกาสขาดทุนสูงได้เหมือนกัน
เมื่อระบบการตรวจสอบเรื่องนี้ยังไม่ได้คุมเข้ม ยังไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน ก็ยังเป็นช่องทางให้นักการเมืองใช้ช่องโหว่ในการฟอกเงินอยู่ร่ำไป อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายจริงทั้งรูปแบบหน้าร้านและทางออนไลน์ที่มีมูลค่าพอๆ กัน อาจจะมีเพียงไม่เกิน 5% ที่ถูกใช้ในการฟอกเงินโดยนักการเมืองหรืออาชญากรกลุ่มต่างๆ
ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการซื้อขายพระเครื่องระดับหมื่นล้านบาท บางคนถึงกับเสนอว่า นี่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนไทย เพราะเดี๋ยวนี้คนจีนในต่างประเทศต่างเข้ามาเช่าบูชาจำนวนมาก
เขายอมรับว่านี่เป็นพุทธพาณิชย์เต็มตัว แต่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนนับแสนนับล้านคน เป็นการปั้นดินให้เป็นเงิน ไม่ต่างกับงานศิลปะทั่วไป อันนี้มองว่าคนไทยได้ประโยชน์
ตราบที่คนไทยยังนิยมชมชอบพระเครื่อง เรื่องนี้ก็จะคู่สังคมไทยไปอีกนาน และหน่วยงานของรัฐก็จะต้องเข้ามากำกับดูแลมากขึ้น เพื่อจะทำให้เป็นธุรกิจที่ถูกต้องชัดเจน ตรวจสอบได้ อย่าให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินต่อไป







