ขัดแย้งเลิก MOU 43,44 ความเห็นต่างที่น่ารับฟัง

แม้รัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” มีความชัดเจนที่จะชี้ขาด ปัญหายกเลิก MOU 43,44 ด้วยการทำประชามติ เพื่อให้ประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจ
แต่ปัญหาใหญ่ของ MOU 43,44 กลับอยู่ที่สาระสำคัญที่มีความเข้าใจไม่ตรงกัน และมีความเห็นต่างสองกระแส คือเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก ที่สำคัญประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเนื้อหาในข้อตกลง แต่จะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่าจะเอาอย่างไร ยกเลิกหรือไม่ นี่คือประเด็น
อะไรไม่สำคัญเท่ากับ เรื่องนี้กำลังกลายเป็น “ปมขัดแย้ง” ภายในประเทศไทย เพราะใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก MOU 43,44 เสี่ยงที่จะถูกกระแส “ชาตินิยม” โจมตีว่าเอียงข้างกัมพูชา หรือไม่รักชาติรักแผ่นดิน ถึงขั้นนั้น
มาทำความเข้าใจสาระสำคัญของ MOU 43,44 เหตุใด บางคนใช้คำแรงขนาดว่า MOU “ขายชาติ” หรือ ทำให้เสียดินแดน
ที่น่าสนใจ “กมล กมลตระกูล” นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความ เรื่อง ทำไมจึงต้องยกเลิก MOU 43 และ 44 ต้องจัดให้มีการลงประชามติก่อนเดินหน้าเจรจา JBC (27ส.ค.68)
“กมล” เริ่มด้วยการระบุว่า มีข้อโต้แย้งและความไม่เข้าใจผลกระทบของการยอมรับ และใช้ MOU 43 และ 44 เป็นเอกสารในการเจรจากับกัมพูชาของคณะกรรมการ JBC ตามคำยืนยันของอธิบดีกรมสนธิสัญญา
“กมล” ชี้ให้เห็นว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ทับซ้อนทางทะเลอ้างสิทธิในไหล่ทวีป หรือที่เรียกกันว่า MOU 43/44 เป็นบันทึกที่ลงนามในสมัยนายกฯชวน หลีกภัย( 2543 ค.ศ. 2000) และนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2544 (ค.ศ. 2001) ซึ่งมีผลเสียต่อประเทศไทยในด้านเขตแดน เนื่องจาก MOU มีลักษณะสำคัญที่เอื้อประโยชน์ต่อกัมพูชาและอาจทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาปักปันเขตแดนทางทะเล
อันที่จริง MOU ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2543) เป็น “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 (ค.ศ. 2000) ในสมัย ชวน หลีกภัย ไม่ใช่ในสมัยนายทักษิณ ชินวัตร
“กมล” อธิบายด้วยว่า MOU เน้นสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างไทย-กัมพูชา ผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Committee: JBC) โดยขอให้ทั้งสองฝ่ายงดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในพื้นที่ชายแดนจนกว่าจะสำรวจชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ไทยรายงานว่ากัมพูชา “ละเมิดเงื่อนไขมากกว่า 600 ครั้ง” เช่น การปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวร การเคลื่อนกำลังทหาร หรือวางกับระเบิด ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงชายแดนและความไม่สงบในหลายจังหวัดตลอดมา
“กมล” ยกตัวอย่าง ผลกระทบของ MOU 43 ต่อประเทศไทยด้านเขตแดน คือมีการละเมิดเงื่อนไขอย่างต่อเนื่อง เช่น การก่อสร้างหรือจัดกำลังทหารในเขตชายแดนไทย-กัมพูชา กลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคงที่ไทยต้องส่งเรื่องร้องเรียนมาโดยตลอด เพื่อไม่ให้ปัญหากลายเป็นความขัดแย้ง แต่ฝ่ายผู้นำกัมพูชากลับคิดตรงกันข้าม เพื่อสร้างคะแนนเสียงความนิยม
“กมล” สรุปผลเสียของ MOU 43/44 ต่อประเทศไทย 5 ข้อ
1.ทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาต่อรอง MOU ฉบับนี้ กัมพูชามีอำนาจต่อรองเหนือกว่าไทย เนื่องจากกำหนดให้การปักปันเขตแดนทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนต้องทำร่วมกับการแบ่งปันผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน ซึ่งแต่เดิมไทยและกัมพูชาได้มีการแบ่งพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวเป็น 2 ส่วน คือ พื้นที่ทับซ้อนส่วนเหนือ (Overlap Area) และ พื้นที่ทับซ้อนส่วนใต้ (Joint Development Area) อย่างไรก็ตาม MOU ฉบับนี้ได้มีการควบรวมพื้นที่ทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน ทำให้การปักปันเขตแดนทางทะเล และการแสวงหาและแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนผูกพันเป็นเรื่องเดียวกัน
2.การยอมรับเส้นเขตแดนทางทะเลของกัมพูชาโดยปริยาย ใน MOU ฉบับนี้มีการกล่าวถึง 'เส้นอ้างสิทธิไหล่ทวีป' (Overlapping Claims) ซึ่งเป็นเส้นที่กัมพูชาใช้อ้างสิทธิแต่เพียงฝ่ายเดียวและไทยไม่เคยยอมรับมาก่อน การที่ไทยลงนามในบันทึกดังกล่าว ทำให้เหมือนว่า ไทยได้ยอมรับเส้นอ้างสิทธินี้โดยปริยาย ซึ่งเส้นดังกล่าวได้ล้ำเข้ามาในน่านน้ำที่ไทยเคยมีสิทธิมานานแล้ว
3.การสูญเสียอำนาจอธิปไตย MOU ฉบับนี้กำหนดให้การพัฒนาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนต้องเป็น 'การพัฒนาร่วมกัน' (Joint Development) หมายความว่า ไทยไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวได้ด้วยตนเอง จะต้องร่วมมือกับกัมพูชาเท่านั้น ทำให้ไทยสูญเสียอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ที่เคยเป็นของตนเองไป
4.ผลประโยชน์ทางพลังงานที่ผูกมัดและไม่เป็นธรรม จากข้อมูลสำรวจพบว่าในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล มีขนาดใหญ่ถึง 26,000 ตารางกิโลเมตร มีแหล่งปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติในปริมาณมหาศาล ซึ่ง MOU นี้ทำให้ไทยไม่สามารถเจรจาเรื่องเขตแดนและแบ่งปันผลประโยชน์ทางทรัพยากรแยกออกจากกันได้ ดังนั้นผลประโยชน์ทางทรัพยากรที่ได้จะต้องแบ่งให้แก่กัมพูชาไปโดยปริยาย แม้ว่าในทางกฎหมายพื้นที่ดังกล่าวอาจเป็นของไทยก็ตาม
5. ขาดความชอบธรรมทางกฎหมาย / MOU 44 ไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา มีเสียงวิจารณ์ว่า อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2560 เนื่องจากไม่มีการนำเข้าพิจารณาและให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ
“กมล” เห็นว่า ก่อนที่กระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าเจรจาขั้นต่อไป รัฐบาลควรจัดให้มีการลงประชามติเพื่อยืนยันว่า คนไทยทั้งประเทศเห็นด้วยหรือไม่กับกระทรวงต่างประเทศ และรัฐบาลชุดนี้ ในการเดินหน้าเจรจาโดยใช้กรอบหรือยอมรับ MOU ที่ใช้มาตราพื้นที่โบราณ 1 ต่อ 200,000 ตร.เมตร แทน 1 ต่อ 50,000 ตามมารตฐานสากลในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ไทยเสียอธิปไตยในพื้นที่ของไทย และสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปอย่างมหาศาล
ขณะเดียวกัน ความเห็นในทางตรงข้าม หรืออาจพูดได้ว่า เห็นต่างก็ว่าได้
โดยเฉพาะ กรณี “เปลว สีเงิน” ผู้เขียนคอลัมน์ คนปลายซอย (7ต.ค.68) อ้างข้อมูลจากเฟซบุ๊ก iLaw ซึ่งผู้อ่านใช้นามว่า Tanai Ep คอมเมนต์เกี่ยวกับ MOU 43,44 เอาไว้ “มา...เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง... ใน MOU 43 ข้อที่ 1 ระบุว่า จะใช้สนธิสัญญาไทยฝรั่งเศส "เป็นสำคัญ"
เขมรใช้แผนที่ 1 : 2 แสน "เป็นส่วนประกอบ"
ในการประชุมครั้งต่อมา ไทยเอามั่ง จึงได้ทำบันทึกความเข้าใจไว้ชัดเจนว่า ไทยยืนยันจะใช้ แผนที่ 1:50,000 เป็นส่วนประกอบมั่ง (ตามที่ กต.แถลง )
ในการยกเลิก mou 43 นั้น ไม่ได้ ไปทำให้สนธิสัญญาไทยฝรั่งเศส ที่อยู่ใน MOU 43 นั้นหายไป
เพราะแม้จะฉีก mou 43 ทิ้งไปแล้ว "ก็ยังต้องยึดสนธิสัญญาไทยฝรั่งเศสอยู่ดี"
ดังนั้น การยกเลิก MOU 43 ก็เท่ากับว่า พวกคุณยกเลิกการใช้ แผนที่ มาตรา 1: 2 แสนของเขมร และแผนที่ มาตรา 1: 5 หมื่นของไทย ไปด้วยเช่นกัน
..เก็ตยัง นอกจากนั้น MOU 43 ยังระบุว่า บรรดาความขัดแย้งใดๆ ต้องใช้การเจรจาแบบทวิภาคีเท่านั้น คือ "ต้องมาคุยกันสองประเทศ" มือที่สามสี่ห้า ประเทศใดๆ "ห้ามเสือก" ถ้าหมายความให้ลึกไปกว่านั้น คือ "ห้ามเอากรณีความขัดแย้งไปฟ้องศาลโลก" ถ้าคุณไปฉีก MOU 43 ทิ้ง ก็หมายความว่า.... คุณเป็นฝ่ายเปิดทางให้กัมพูชา เอากรณีเส้นเขตแดนนี้ไปขึ้นศาลโลกโดยไม่ขัดต่อข้อตกลงใดๆ...?? หายโง่ยัง... การยกเลิก MOU 43 นี่คือ ความต้องการของฮุน เซน... ตามที่เคยพูดเอาไว้ในวุฒิสภากัมพูชา ถ้าคุณยกเลิก ก็เหมือนไปสนองความต้องการของฮุน เซน นั่นแหละ อีกอย่าง ที่คุณชอบถามว่า MOU ทำไมไม่ผ่านสภา MOU 43 มันมีขึ้นมาก่อนที่จะมี รธน. 50 ครับ รธน.50 ที่ระบุว่า การทำสัญญาใดๆ ต้องผ่าน สภา.. "กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง" ครับ... ฟังดูก็มีเหตุผลอยู่ไม่น้อย และไล่เรียงให้เห็นอย่างชัดเจนพอสมควร
ยิ่งถ้าเอามุมมองของฝ่ายความมั่นคงมาเปรียบเทียบด้วย ก็ยิ่งเห็นว่า การจะยกเลิกหรือไม่ อาจไม่สำคัญ เพราะอยู่ที่ความเข้มแข็งในการเจรจาของรัฐบาลไทยเท่านั้น
ทำให้เห็นท่าทีฝ่ายความมั่นคง ยกเลิกหรือไม่ก็ได้ ไม่ได้มองว่า MOU 43,44 เป็นปัญหารุนแรง เนื่องจากปัจจัยสำคัญอยู่ที่การนำหลักฐาน แผนที่อัตราส่วน 1:50,000 ยึดเป็นหลักในการปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตย แทนที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็น
สุดท้าย ประเด็นยกเลิก MOU 43,44 ถ้าไม่ถูกทำให้เป็นประเด็นทางการเมือง มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องของกลุ่มพลังมวลชน “ชาตินิยม” ที่มีบทบาทสูง ก็อาจไม่จำเป็นถึงขั้นลงประชามติยกเลิกหรือไม่
เพราะความเห็นต่าง ถ้าไม่ถึงขั้นเข้าข้างกัมพูชา ก็นับว่าน่ารับฟัง โดยเฉพาะประเด็น ถ้ายกเลิก MOU 43,44 แล้ว ไม่ได้แก้ปัญหาขัดแย้งไทย-กัมพูชาให้จบลงได้ คนไทยจะขัดแย้ง ทะเลาะกันเพื่ออะไร เผลอๆประชามติทำไปก็แค่ตอกย้ำกระแส “ชาตินิยม” มาแรงเท่านั้น?






