ถอดบทเรียนการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลในวัด

วันศุกร์ที่แล้ว ผมได้บรรยายหัวข้อ “จากแนวคิดการบริหารจัดการที่ดีสู่การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลในวัด” ในงานบทเรียนและความก้าวหน้าโครงการ “บริหารวัดในพระพุทธศาสนาตามหลักธรรมาภิบาล”
ซึ่งเป็นความร่วมมือขององค์กรไม่แสวงหากําไรสามแห่ง คือ มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์ กรุงเทพ) และกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย เพื่อส่งเสริมวัดในพระพุทธศาสนาให้มีระบบการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล โดยนําแนวปฏิบัติที่ดี 9 ข้อที่โครงการพัฒนาขึ้นมาไปปฏิบัติใช้
วันนี้จึงขอแชร์ประเด็นสําคัญจากการสัมมนาให้ผู้อ่านทราบ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้ โครงการเริ่มเดือนเมษายน ปี 2566 โดยมี 16 วัดทั่วประเทศสมัครใจเข้าร่วมโครงการ มีทั้งวัดที่มีการบริหารที่ดีและสามารถเป็นตัวอย่างให้วัดอื่นได้ศึกษาเรียนรู้ และวัดที่เข้าร่วมเพื่อเป็นวัดนำร่องนําแนวปฏิบัติที่ดีไปประยุกต์ใช้
โดยแต่ละวัดจะมีทีมจิตอาสาถวายงานให้คําปรึกษา เพื่อช่วยวัดปรับปรุงระบบงานและกระบวนการทํางานให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ปัจจุบันโครงการได้ดำเนินการมากว่า 24 เดือนและคงจบปีนี้
งานสัมมนาจึงเหมือนสํารวจความคืบหน้าของสิ่งที่ได้ทําเพื่อเป็นผลหรือข้อสรุปเบื้องต้น รวมถึงถอดบทเรียนความท้าทาย และประสบการณ์ที่ได้จากการทําโครงการ ทั้งจากมุมมองของวัดที่เข้าร่วมโครงการ และมุมมองของคฤหัสถ์ที่เป็นทีมจิตอาสาถวายงานช่วยเหลือวัด ทั้งหมดก็เพื่อพัฒนาแนวทางสู่อนาคตของการบริหารวัดตามหลักธรรมาภิบาล
การบริหารจัดการที่ดีเป็นหลักปฏิบัติที่องค์กรทั้งในภาคธุรกิจและภาคราชการใช้และให้ความสำคัญ ทำโดยการวางแนวปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลให้ถือปฏิบัติ ในลักษณะนี้ วัดก็เป็นองค์กรที่ต้องมีการบริหารเช่นกัน
การบริหารวัดตามหลักธรรมาภิบาลจึงเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ต้องให้ความสำคัญกับลักษณะพิเศษของวัด คือ พระธรรมวินัยที่กํากับดูแลสงฆ์ พ.ร.บ.สงฆ์ที่เป็นกฎหมายกํากับดูแลการทําหน้าที่ของวัด และหลักธรรมาภิบาลทั่วไปของการบริหารจัดการ เช่น ระบบงานที่เป็นมาตรฐาน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ในระดับที่เหมาะสมกับลักษณะและภารกิจของวัด
สะท้อนแนวคิดนี้ มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลร่วมกับผู้มีความรู้ในวงการสงฆ์ได้พัฒนาแนวปฏิบัติเก้าข้อในการบริหารวัดตามหลักธรรมาภิบาล โดยเน้นสามเรื่องที่สำคัญ 1.การตัดสินใจเป็นหมู่คณะ ซึ่งเป็นหลักการดั้งเดิมของการบริหารสังฆะ
2.วัดมีระบบงานที่โปร่งใส เป็นมาตรฐาน และ 3.มีการสอบทานจากภายนอก ทั้งหมดพัฒนาเป็นแนวปฏิบัติเก้าข้อ ปรากฏในบทความ “เราจะสร้างวัดให้มีธรรมาภิบาลได้อย่างไร” ตีพิมพ์ในคอลัมน์นี้เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม
ในการขับเคลื่อน เป้าหมายคือ ช่วยวัดวางระบบงานเพื่อให้การบริหารวัดตามหลักธรรมาภิบาลเกิดขึ้นได้ เรื่องนี้ ข้อจํากัดของวัดส่วนใหญ่คือ ขาดแคลนบุคคลากรและความเชี่ยวชาญที่จะตอบสนอง และที่วัดอยากได้คือความช่วยเหลือให้วัดสามารถทําเรื่องเหล่านี้ที่พระสงฆ์ไม่ถนัดได้อย่างถูกต้อง
ดังนั้น ปัจจัยความสำเร็จ คือ ทีมจิตอาสาที่สมัครใจใช้ความรู้ถวายงานวัด ช่วยวัดปรับปรุงระบบงานที่มีอยู่และขับเคลื่อนการบริหารวัดอย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งทีมจิตอาสาคือ จุดแข็งของโครงการนี้
โครงการมีจิตอาสาเข้ามาช่วยงานกว่า 50 ชีวิต ส่วนใหญ่เป็นบุคลากรในพื้นที่ ทั้งจากภาคธุรกิจ ภาควิชาการ เช่น สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ภาคประชาสังคม อดีตข้าราชการ รวมถึงประชาชนทั่วไป ความทุ่มเทของทีมจิตอาสาเป็นปัจจัยที่ทำให้งานมีความคืบหน้า ต่อเนื่อง และบรรลุเป้าหมาย
อีกประเด็นคือเรื่องการเงิน จุดที่เหมือนกันและเป็นจุดแรกที่ทุกวัดในโครงการอยากให้ช่วยเหลือชี้แนะคือ ระบบการบันทึกบัญชีของวัด เพราะทุกวัดมีการลงบัญชีและทํารายงานอยู่แล้ว แต่ไม่มั่นใจว่าทําได้ถูกต้องครบถ้วนและได้มาตรฐานเพียงพอหรือไม่ และที่ทุกวัดต้องการคือระบบบัญชีที่วัดสามารถทําได้ด้วยตนเองอย่างถูกต้อง
โครงการจึงมุ่งไปที่การปรับปรุงระบบบัญชีที่วัดมีให้ได้มาตรฐาน หรือวางระบบบัญชีใหม่ให้วัดแล้วแต่กรณี รวมถึงฝึกบุคลากรของวัดให้สามารถลงบัญชีในระบบงานใหม่ได้ด้วยตนเอง
มีเอกสารหลักฐานสนับสนุนครบถ้วน และจัดทําคู่มือการลงบัญชีของวัดเพื่อเป็นเอกสารให้ผู้สอบทานจากภายนอกใช้อ้างอิงในการสอบทานการลงบัญชีของวัด ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ใช้เวลา เหมือนการลงทุน และเมื่อวัดทําได้ ก็จะเป็นผลดีต่อวัด ต่อชุมชน และต่อสังคมในระยะยาว
ในมุมมองของวัด ซึ่งเมื่อวันศุกร์มีท่านเจ้าอาวาสและพระผู้ใหญ่จากห้าวัดที่ร่วมโครงการมาร่วมให้ความเห็น คือ วัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ วัดจากแดง สมุทรปราการ วัดวังตะวันตก นครศรีธรรมราช วัดศรีโสดา อารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่ และวัดเหล่าอาภรณ์ จังหวัดยโสธร
ซึ่งพระสงฆ์มองว่า ระบบการบริหารจัดการที่ดีสำคัญและจําเป็นต่อวัด ทั้งในเรื่องการเงินและการบริหารปกครอง ความเป็นระบบจะช่วยให้วัดสามารถติดตามสถานการณ์ภายในวัดได้อย่างครบถ้วนทันเหตุการณ์ ช่วยในการวางแผนเพื่อตัดสินใจเรื่องต่างๆ
ที่สําคัญ ความเป็นระบบโดยเฉพาะเรื่องการเงินช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด ทําให้การบริหารเงินในวัดมีวินัย รัดกุม สามารถตรวจสอบได้ สร้างความมั่นใจและศรัทธาที่นําไปสู่ความมั่นคงและความยั่งยืนของวัดและพระพุทธศาสนา ความท้าทายสำคัญคือ ทัศนคติที่ยอมรับการทํางานอย่างเป็นระบบ
สําหรับทีมจิตอาสา ทั้งหมดมองว่าการบริหารวัดอย่างมีธรรมาภิบาลเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องทําจริงจังและต่อเนื่อง ความท้าทายอยู่ที่ความพร้อมของวัดที่จะ “เปิดประตู” รับการเปลี่ยนแปลงและความช่วยเหลือ รวมถึงความไว้วางใจที่วัดมีต่อทีมจิตอาสาซึ่งเป็นคนนอก
แต่จุดแข็งคือ ภาคประชาชนมีเครือข่ายคนมีความรู้และมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนามาก ทําอย่างไรให้คนเหล่านี้มีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมช่วยเหลือวัดอย่างเป็นกิจลักษณะ
อีกประเด็นคือ การบริหารจัดการวัดอย่างมีธรรมาภิบาล ถ้าวัดไม่มีอยู่เดิมหรือต้องทําเพิ่มเติมก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลง จากสิ่งที่วัดเคยปฏิบัติไปสู่ระบบงานใหม่ซึ่งจะมีผู้เกี่ยวข้องมาก
ดังนั้น ภาวะผู้นำของเจ้าอาวาส ในฐานะผู้นําสูงสุดของวัดจึงสําคัญ ที่เห็นประโยชน์ของการบริหารอย่างเป็นระบบ สามารถโน้มน้าวให้บุคลากรในวัดและชุมชนสนับสนุน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและเป็นผลสำเร็จ
นี่คือโครงการและความเห็นของผู้เข้าร่วมโครงการทั้งวัดและประชาชนที่เป็นจิตอาสา ซึ่งเป็นประโยชน์มาก เมื่องานจบ โครงการจะทํารายงานสรุปสิ่งที่ได้ทําไปและบทเรียนต่างๆ ถวายต่อคณะกรรมการมหาเถระสมาคมเพื่อประโยชน์ของงานพุทธศาสนาของประเทศต่อไป







