MOU 43, 44 คืออะไร? ควรเก็บไว้หรือยกเลิก?

MOU 43 (พ.ศ. 2543) คือบันทึกความเข้าใจกับกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบกที่ทับซ้อนกัน โดยใช้แผนที่ 1:200,000 และห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ส่วน MOU 44 (พ.ศ. 2544) เป็นข้อตกลงเพื่อหาทางร่วมมือในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (OCA) ซึ่งคาดว่ามีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมหาศาล
KEY
POINTS
- MOU 43 (พ.ศ. 2543) คือบันทึกความเข้าใจกับกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบกที่ทับซ้อนกัน โดยใช้แผนที่ 1:200,000 และห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ส่วน MOU 44 (พ.ศ. 2544) เป็นข้อตกลงเพื่อหาทางร่วมมือในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (OCA) ซึ่งคาดว่ามีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมหาศาล
- ปัจจุบันเกิดประเด็นว่าควรเก็บไว้หรือยกเลิก เนื่องจากความขัดแย้งชายแดนในปี 2025 และรัฐบาลอนุทิน 1.0 มีนโยบายทำประชามติถามประชาชน โดยนายกฯ เห็นว่าควรยกเลิกเพราะไม่มีความคืบหน้ามากว่า 20 ปี ซึ่งสอดคล้องกับกระแสรักชาติของคนไทยส่วนใหญ่
- เหตุผลที่ควรยกเลิกคือ กัมพูชาละเมิด MOU 43 กว่า 450 ครั้ง ทำให้ไทยมีความชอบธรรมในการยกเลิกตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสามารถกดดันให้ใช้แผนที่ที่ทันสมัยกว่า (1:50,000) ส่วน MOU 44 มีแรงกดดันทางการเมืองภายในและความระแวงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
- ข้อเสียของการยกเลิกฝ่ายเดียวคือ อาจกระทบความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีโลก (ถูกมองว่าฉีกสัญญา) และเสี่ยงต่อการถูกบริษัทเอกชนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งอาจกลายเป็นภาระภาษีของประชาชนในอนาคต
- ทางเลือกอื่นนอกจากการยกเลิกคือ การเจรจาต่อโดยมีเงื่อนไขให้กัมพูชาเคารพกติกา, ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการปักปันเขตแดนทางบก และทดลองพัฒนาร่วมในพื้นที่ทางทะเลขนาดเล็ก (pilot block) ก่อน เพื่อสร้างความเข้าใจและควบคุมความเสี่ยง
MOU ย่อมาจาก Memorandum of Understanding หรือแปลว่า บันทึกความเข้าใจ
โดย MOU 43 (ปีพ.ศ. 2543) คือบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชา สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนบนพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันทางบก
และตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) กำหนดให้ยึดเอกสารสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส 1904–1907 ใช้สันปันน้ำตามธรรมชาติและหลักเขตเดิม 73 ตำแหน่งเป็นฐาน
พร้อมทั้งห้ามทั้งสองฝ่ายทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายแดน เว้นแต่ภารกิจสำรวจร่วม (กลไกคลี่คลายความตึงเครียด)
โดยใช้แผนที่อัตราส่วน1:200,000 (ซึ่งไม่แม่นยำและไม่น่าเชื่อถือ เมื่อเทียบกับแผนที่อัตราส่วนหนึ่งต่อ 1:50,000 ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยกว่า https://www.ilaw.or.th/wp-content/uploads/2025/09/MOU43.pdf (ต้นฉบับ 237 หน้า) และ
MOU 44 (ปีพ.ศ. 2544) คือ บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชา สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ว่าด้วยความร่วมมือในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) ในอ่าวไทยประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากมายมหาศาล
มีลักษณะเป็น “provisional arrangements / agreement to agree” เพื่อหาทางออกทั้งการแบ่งเขตกับการพัฒนาร่วม-ไม่ใช่เอกสารที่ยกอธิปไตยหรือปักเขตเด็ดขาดทันที และสอดคล้องหลักกฎหมายทะเลที่ให้คู่กรณีทำข้อตกลงชั่วคราวระหว่างเจรจา
https://www.ilaw.or.th/wp-content/uploads/2025/09/MOU44.pdf (ต้นฉบับ 241 หน้า)
โดยทั่วไปแล้วการทำ MOU เช่นนี้ เข้าใจกันว่า
๐ เอกสารทั้งสองฉบับนี้ ไม่ใช่กฎหมาย
๐ไม่ได้มีผลผูกพันหรือสภาพบังคับ
๐หากใครฝ่าฝืนก็ไม่มีกลไกที่จะเอาผิดลงโทษกันได้
๐ไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
๐ไม่ใช่เอกสารที่ประชาชนทั่วไปใช้จริงในชีวิตประจำวันจึงไม่ค่อยมีใครรู้จักรายละเอียดมากนัก หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือกระทรวงการต่างประเทศ
ควรเก็บไว้หรือยกเลิก?
สืบเนื่องจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนอย่างรุนแรงในปีค.ศ. 2025
จึงนำมาสู่ ประเด็นว่า MOU สองฉบับนี้ควรจะมีอนาคตอย่างไร
รัฐบาลอนุทิน 1.0 กำลังมีนโยบายที่จะทำประชามติเพื่อถามประชาชนว่าจะให้ยกเลิก หรือไม่
โดยนายกรัฐมนตรีอนุทินชี้นำแล้วว่า ‘หากไม่เป็นประโยชน์ต่อไทยก็พร้อมยกเลิก บอกว่าส่วนตัว ถ้าเป็นตนเอง ยกเลิกไปนานแล้ว ทำมาตั้ง 20 ปียังตกลงกันไม่ได้ จะเก็บไว้ทำไม?’
ซึ่งสอดคล้องกับกระแสรักชาติของชาวไทยเป็นจำนวนมากที่อยากยกเลิกทั้งสองฉบับนี้เช่นกัน และหากมีการทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งในปีหน้า ก็คาดว่าเสียงส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับการยกเลิกค่อนข้างแน่นอน
ในทางตรงกันข้าม มีหลายฝ่ายท้วงติงให้ระมัดระวังว่า การยกเลิกโดยไทยตัดสินใจทำฝ่ายเดียวขณะที่กัมพูชาคัดค้าน อาจนำมาสู่ความเสียหายมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ และคิดว่าเอกสารสองฉบับนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ยังมีประโยชน์อยู่และยังดีกว่าที่ยังไม่มีอะไรเลย
อย่างไรก็ตามเงื่อนไขปัจจัยของภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปมากอย่างเฉียบพลัน เรื่องนี้เป็นสิ่งอ่อนไหวทางการเมืองภายในไทยมาก จึงไม่ควรมองข้ามความรู้สึกของประชาชนและคำนึงถึงหลักการและแนวปฏิบัติสากลเหมือนเช่นเคยทำในอดีต
หากเปรียบเทียบแล้วรัฐธรรมนูญของไทยซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศถูกเปลี่ยนบ่อยครั้ง ขณะที่ MOU กับกัมพูชา ซึ่งเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจและไม่ใช่กฎหมายกลับไม่เปลี่ยนเลย คำถามคือเป็นเพราะเหตุใด ?
เหตุผลที่ควรยกเลิก MOU 43
ประมาณ 25 ปีที่ผ่านมา กัมพูชาละเมิดข้อตกลงแล้วกว่า 450 ครั้ง โดยฝ่ายไทยได้โต้แย้งและประท้วงมาโดยตลอด แต่กัมพูชากลับแก้ไขให้ไม่เกิน 100 ครั้ง นับว่าเป็นการจงใจละเมิดมากกว่าการพลั้งเผลอผิดพลาด จึงทำให้ไทยใช้เป็นข้ออ้างเพื่อยกเลิกด้วยความชอบธรรม ซึ่งประชาคมโลกไม่ควรกล่าวหาว่าไทยผิดสัญญา เนื่องจากได้แสดงสิทธิตามกฏหมายระหว่างประเทศทุกอย่าง
และสามารถอ้างบทบัญญัติของแห่งอนุสัญญากรุงเวียนนา ปีค.ศ. 1969 ข้อ 60 ได้
เมื่อไม่มี MOU 43 แล้วจะทำอย่างไร?
ปัญหาเรื่องการกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศต่อไปอย่างไรนั้น ไทยควรใช้ความเข้มแข็งและจุดยืนที่มั่นคงกดดันให้กัมพูชาเปลี่ยนมาใช้แผนที่อัตราส่วน 1:50,000
และหากกัมพูชาไม่ยอม ไทยเป็นประเทศที่เข้มแข็งกว่าจึงสามารถปกป้องอธิปไตยได้
เหตุผลที่ควรยกเลิก MOU 44
รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในปี 2552 เคยพยายามยกเลิกมาแล้ว
โดยผ่านคณะรัฐมนตรี แต่ยังไม่ผ่านรัฐสภา ครั้งนั้นทำไม่สำเร็จ เนื่องจากตีความว่าเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่อาจยกเลิกฝ่ายเดียวไม่ได้
และในปัจจุบันกระแสการเมืองภายในไทยต้องการเรียกร้องให้ยกเลิก โดยมีเรื่องความระแวงของผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้นำทางการเมืองทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยมาทำให้ซับซ้อนด้วย ประกอบกับการเห็นต่างเรื่องเส้นแนวอ้างสิทธิไหล่ทวีปในแผนที่แนบท้าย MOU ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้
ยกเลิกได้ แต่อาจมีผลเสีย
ผลเสียคือประชาคมโลกอาจมองว่า ‘ไทยยกเลิกเพราะอารมณ์และกระแสทางการเมือง’ การยกเลิก MOU เสี่ยงต่อการเสียความชอบธรรมในเวทีโลก เพราะกติกาสากลมองว่า “รัฐต้องเคารพข้อตกลงที่ลงนาม” (pacta sunt servanda) ถ้าไทยยกเลิกทันทีโดยไม่มี “ทางเลือกใหม่” จะถูกมองว่า “ฉีกข้อตกลง” รวมทั้งอาจมีการฟ้องร้องจากบริษัทเอกชนซึ่งสูญเสียประโยชน์และหากรัฐบาลไทยแพ้คดีในอนาคต ก็จะนำมาสู่ภาระของภาษีอากรซึ่งต้องนำมาชดใช้ค่าเสียหายตามคำสั่งของศาลฯ
ถ้าไม่ยกเลิกแล้ว จะมีวิธีทางเลือกอื่นใดที่มีประโยชน์สูงสุดต่อไทยหรือไม่ จะประนีประนอมได้ไหม?
หากจำเป็นต้องมี MOU ทั้งสองนี้ต่อไปก็มีทางออกได้คือ ‘ตราบใดที่ทางกัมพูชาเคารพตามกติกาที่ไทยยอมรับได้’ แม้ในทางปฏิบัติแล้วจะมีความสุ่มเสี่ยงและความขัดแย้งเรื้อรัง เนื่องจาก ณ เวลานี้ชาวไทยส่วนใหญ่ไม่เชื่อถือศรัทธารัฐบาลกัมพูชาเช่นที่เคย
เรื่องหลักเขต 73 ตำแหน่ง - ใช้เทคโนโลยีล่าสุดทำงานกับกลุ่มของกัมพูชาที่มีความรู้ความสามารถและมีทัศนคติที่อยากอยู่ร่วมอย่างสันติ และซื้อเวลาว่า ‘รัฐบาลกัมพูชาอาจมีการเปลี่ยนแปลงในระดับผู้นำ’
JBC ยังเป็นกลุ่มที่ทำงานร่วมกันได้
ส่วนเรื่องกฎหมายและเทคโนโลยีทางทะเล ก็แบ่งแยกเป็นสัดส่วนพื้นที่ย่อย ในระดับพื้นที่ทดลอง (pilot block)เพื่อหาความเข้าใจเบื้องต้นและควบคุมความเสี่ยงให้ต่ำที่สุดไว้ก่อน
เพื่อพิสูจน์กระบวนการแบ่งรายได้และการกำกับดูแล และหาวิธีพัฒนาร่วมแบ่งรายได้ ควบคุมสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย หากระดับพื้นที่ทดลองขนาดเล็กทำได้ดี และการเมืองและความสัมพันธ์ของสองประเทศเพิ่มเป็นทางบวก
ก็สามารถจะขยับขยายสู่พื้นที่หลักในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA)







