“หนึ่งก้าวเดิน หนึ่งจังหวะหัวใจ”

“หนึ่งก้าวเดิน หนึ่งจังหวะหัวใจ”

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐหลายหมื่นคน ถึงเวลาต้องเกษียณอายุ

หลังจากนี้ หลายคนคงตั้งคำถามคล้าย ๆ กันว่า จะใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างไรให้มีความสุข จะดูแลสุขภาพอย่างไรให้อายุยืน หรือจะบริหารเงินออมอย่างไรให้พอใช้ไปได้ตลอดชีวิต

แต่คงไม่มีใครถามหรอกนะว่า กล้ามเนื้อก้อนเล็ก ๆ ในทรวงอกของแต่ละคนนั้น กว่าจะมาถึงวันนี้ ได้ทำงานหนักมาแล้วแค่ไหน

หัวใจของคนเราทำงานไม่เคยหยุด ผมเคยลองทายดูเล่น ๆ ว่า คนเรากว่าจะอายุถึง 60 ปี หัวใจน่าจะเต้นไปแล้วไม่ต่ำกว่า200-300 ล้านครั้ง ได้ไหม?

ที่ไหนได้ พอไปค้นข้อมูลดูพบว่ามันเต้นไปแล้วกว่า 2,300,000,000 ครั้ง(สองพันสามร้อยล้านครั้ง) น่าทึ่งไหมครับ มหัศจรรย์ไหมครับตัวเลขนี้ใหญ่จนแทบจินตนาการไม่ออก

ถ้าอยากเห็นภาพ ก็ต้องนึกว่าคุณยืนอยู่ที่สิงคโปร์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรของโลก แล้วเริ่มก้าวเดินไปตามแนวเส้นศูนย์สูตรของโลกทุกก้าวเดิน หัวใจก็เต้นหนึ่งครั้ง

ก้าวเดินไปเรื่อยๆ รักษาจังหวะ และหยุดพักไม่ได้เลยนะครับ เดินจนครบรอบโลกหนึ่งรอบ แล้วก็เดินต่อไปอีก เป็นรอบที่ 2 รอบที่ 3.…จนถึง 45 รอบโลกนั่นแหละจึงจะเท่ากับจำนวนการเต้นอย่างไม่มีเวลาหยุด ของหัวใจในช่วงชีวิต 60 ปี

ถ้าหากหลังเกษียณ คุณยังมีชีวิตไปถึง 90 ปี หัวใจจะเต้นเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก ถึงพันล้านครั้งครับ เทียบได้กับการเดินรอบโลกกว่า 60 รอบเลยทีเดียว

กล้ามเนื้อขนาดเท่ากำปั้นนี้ คือสิ่งที่ซื่อสัตย์ที่สุดในชีวิตเรา มันไม่เคยอู้ ไม่เคยหยุดพัก ทำงาน เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในทุก ๆ วัน 

ผมเชื่อว่า ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ และทุกก้าวย่างของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ทั้งที่เกษียณอายุแล้วในสัปดาห์นี้ และที่ยังปฎิบัติหน้าที่อยู่ต่อไปก็คือก้าวเดินของประเทศ

นักการเมือง หมุนเวียนเข้ามาตามวาระ วนมาแล้วก็เวียนไป แต่ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ยังคงทำงานต่อเนื่อง เป็นแรงขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังอย่างไม่เคยหยุด ทุกนโยบายจะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา ว่าจะขับเคลื่อนให้เป็นจริงได้หรือเปล่า

แต่ที่น่าเศร้าก็คือ บางคนยอมโอนอ่อนต่อนักการเมือง ซึ่งถ้านักการเมืองผู้มีอำนาจ กำหนดนโยบายและทิศทาง ที่เอื้อประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้องเป็นหลักการก้าวเดินก็ไม่ใช่เพื่อประเทศอีกต่อไป

สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า ปี 2566 ประเทศไทยมีข้าราชการ 1.75 ล้านคน และบุคลากรภาครัฐประเภทอื่น ๆ อีก 1.28 ล้านคนรวมแล้วกว่า 3 ล้านคน ตัวเลขนี้ไม่เล็กเลยนะครับ เพราะหมายถึง 3 ล้านชีวิตที่ขับเคลื่อนประเทศ

เงินเดือนและค่าตอบแทน ที่พวกเขาได้รับและสร้างครอบครัวขึ้นมาได้ ล้วนมาจากภาษีของประชาชน นั่นหมายความว่า ข้าราชการทุกคนคือผู้ที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญ คือการรับใช้ “ประชาชน” ผู้เป็นเจ้าของประเทศ

แต่ในทางปฏิบัติ เราในฐานะประชาชนผู้เสียภาษี ก็ไม่มีอำนาจกำกับดูแลผู้ที่ได้รับความไว้วางใจเหล่านี้โดยตรง ต่างจากบริษัทเอกชนที่เจ้านายสั่งการได้เอง ระบบเพียงแค่ให้เราเลือกนักการเมือง เพื่อเข้าไปทำหน้าที่แทนเราอีกชั้นหนึ่ง

แต่บ่อยครั้ง ที่เราในฐานะ “นายจ้างตัวจริง” ทั้งของนักการเมืองและบุคลากรภาครัฐ ก็ถูกลืมเลือนไปซะเฉยๆ

ตรงนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมกลับไปคิดถึงการเต้นของ “หัวใจ” 

หัวใจเต้นทุกจังหวะโดยไม่เลือกเวลา ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน มันทำงานเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าราชการเองซึ่งเป็นทั้งผู้ได้รับความไว้วางใจ และเป็นหัวใจแห่งความหวังของประชาชน ก็ควรทำงานอย่างซื่อสัตย์ในทุกก้าวเช่นกัน

เพราะทุกการตัดสินใจ ล้วนมีผลต่อชีวิตของผู้คนทั้งประเทศ 

เมื่อไม่นานมานี้ ผมไปประชุมคณะอนุกรรมการจริยธรรมของข้าราชการ กทม.มีการพูดถึงยุทธศาสตร์ด้านมาตรฐานจริยธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้ตั้งแต่ปี 2565สิ่งที่ผมชอบที่สุดก็คือ “วิสัยทัศน์” ที่เขียนไว้ว่า:

“เจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจได้” (Trusted Public Officers) 

เป็นประโยคที่สั้น แต่ทรงพลังมาก ถ้าทำได้จริง ประเทศไทยคงก้าวหน้าไปไกล 

แต่เมื่อมองความจริง เราก็เห็นข่าวคอร์รัปชันอยู่เต็มเมือง ความเชื่อถือที่ประชาชนมีต่อข้าราชการและบุคลากรรัฐ จึงยังห่างไกลจากวิสัยทัศน์ที่วาดฝันไว้

ข้าราชการที่เพิ่งเกษียณในปีนี้ ก็หมดหน้าที่ไปแล้ว แต่คนที่ยังทำงานอีก 10 หรือ 20 ปี รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับไม้ต่อจากรุ่นก่อน ต้องหยุดคิดให้หนัก

เพราะทุกก้าวเดินของท่าน คือทิศทางของประเทศ หากท่านก้าวอย่างซื่อสัตย์และมั่นคง ประเทศก็จะเติบโตไปในทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าก้าวพลาด ก็อาจสะเทือนถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งชาติ

ถ้าเรามี “เจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจได้” ตามวิสัยทัศน์จริง ๆ เชื่อได้เลยว่าบ้านเมืองนี้จะดีขึ้นอีกมากมาย

ผมก็ได้แต่หวังว่า ก้าวต่อไปของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐทุกท่าน จะมั่นคง ซื่อสัตย์ และนำพาประเทศให้ก้าวไปอย่าง “ถูกทิศ ถูกทาง”…. จริงๆ