สทนช. เผย 2 เขื่อนหลักจ่อเต็ม เร่งระบายน้ำ เตรียมรับมือฝนระลอกใหม่

สทนช. เผย 2 เขื่อนหลักจ่อเต็ม เร่งระบายน้ำ เตรียมรับมือฝนระลอกใหม่

สทนช. เผย 2 เขื่อนหลัก มีปริมาณน้ำใกล้เต็มความจุ เสี่ยงล้น หลัง "พายุบัวลอย" ทำฝนหนักเหนือ เร่งปรับแผนเพิ่มระบายน้ำ "เขื่อนเจ้าพระยา" พร้อมเตรียมรับมือฝนระลอกใหม่

วันนี้ (30 ก.ย. 68) นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำด่วน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อรับมือกับอิทธิพลของพายุ “บัวลอย” ที่ส่งผลให้หลายลุ่มน้ำยังคงมีฝนตกหนักต่อเนื่อง และเกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่

รองเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ลุ่มน้ำน่าน ที่ อ.น้ำปาด และ อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาณฝนสะสมสูงถึงกว่า 300 มิลลิเมตร ขณะที่ลุ่มน้ำยม ที่ อ.ปง จ.พะเยา มีฝนตกมากกว่า 170 มิลลิเมตร ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่

นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ยังคาดการณ์ว่า หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศฟิลิปปินส์ อาจส่งผลให้มีฝนตกเพิ่มขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกในช่วงประมาณ วันที่ 5 ตุลาคมนี้
 

มติประชุม: คงอัตราการระบายน้ำเขื่อนหลัก พร้อมปรับเพิ่มระบาย “เจ้าพระยา”

เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนและบริหารจัดการน้ำหลากให้เขื่อนมีช่องว่างรองรับ รวมถึงสำรองน้ำให้เพียงพอสำหรับฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง ที่ประชุมจึงได้มีมติเร่งด่วนสำหรับกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ดังนี้

1. คงอัตราการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล : ทั้งสองเขื่อนยังคงอัตราการระบายน้ำไว้ที่ 15 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน ในช่วง 2-3 วันนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำของลุ่มน้ำน่านบริเวณ จ.อุตรดิตถ์ ที่มีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังมีน้ำไหลเข้าเขื่อนอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มปริมาณน้ำใกล้เต็มความจุ เสี่ยงเกิดน้ำล้น จึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมปรับเพิ่มการระบายน้ำให้เหมาะสมต่อไป

2. ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา : คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา จ.นครสวรรค์ ในอัตราประมาณ 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งหากคงการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราปัจจุบัน (2,300 ลบ.ม./วินาที) จะทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนสูงเกิน 17.5 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) เสี่ยงกระทบต่อความมั่นคงของเขื่อน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็นอัตรา 2,400 ลบ.ม. ต่อวินาที โดยจะมีการประเมินปริมาณฝนที่ตกจริงเทียบกับค่าคาดการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนให้น้อยที่สุด
 

3. เร่งผันน้ำเข้าทุ่งลุ่มต่ำและระบายออกจากทุ่งบางระกำ : จะมีการปรับเพิ่มปริมาณการรับน้ำเข้าสู่ทุ่งลุ่มต่ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จและทำประชาคมกับประชาชนแล้ว พร้อมทั้งเร่งระบายน้ำออกจากทุ่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทุ่งบางระกำที่มีปริมาณน้ำจำนวนมาก เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้โดยเร็ว

ยืนยันไม่เกิดอุทกภัยซ้ำรอยปี 2554

นายไพฑูรย์ ยังเปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล สทนช. ได้สั่งการให้ภาครัฐเข้าช่วยเหลือดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่อย่างเต็มที่

แม้ว่าฤดูฝนปีนี้ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากพายุถึง 5 ลูก ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ในปี 2554 แต่ สทนช. ยืนยันว่าจะไม่เกิดสถานการณ์อุทกภัยซ้ำรอยอย่างแน่นอน โดยคาดว่าภายหลังฝนตกหนักจากอิทธิพลของหย่อมความกดอากาศต่ำในระลอกนี้ผ่านไป สถานการณ์จะคลี่คลายลงตามลำดับ และ สทนช. จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายมวลน้ำที่ท่วมขังออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด