Neomania ปะทะ Lindy Effect | คิดอนาคต

ในยุคที่แอปใหม่และเอไอตัวล่าสุดผุดขึ้นแทบทุกสัปดาห์ โทรศัพท์รุ่นใหม่ถูกโปรโมตจนรุ่นก่อนหน้าดูไร้ค่า เรื่องราวสด ๆ แนวคิดใหม่ และนโยบายที่เพิ่งถูกประกาศเกิดขึ้นไม่หยุด
คำถามคือ เราควรรีบโผเข้าหาสิ่งเหล่านี้ด้วยความเชื่อว่าของใหม่ย่อมดีกว่า หรือหันกลับมามองสิ่งที่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่ายังทรงคุณค่า นี่คือ การปะทะกันระหว่างสองแรงผลักสำคัญของสังคมร่วมสมัย “Neomania” ความคลั่งไคล้ในสิ่งใหม่ กับ “Lindy Effect” ความไว้วางใจต่อสิ่งที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลา
ความตึงเครียดระหว่างสองทางนี้ อาจมองได้ว่าเป็นเส้นพรมแดนของความทันสมัยกับความมั่นคง หรือเป็นศึกสองขั้วของการออกแบบอนาคต Neomania คืออาการทางวัฒนธรรมที่พบได้ทั่วไปในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ตามกระแสซึ่งมักเร่งรีบรับสิ่งใหม่มาใช้อย่างไม่ลังเล ด้วยสมมติฐานว่าของใหม่ย่อมดีกว่า ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยี แอปพลิเคชัน วิธีคิด หรือทฤษฎีล่าสุด
ซึ่งสะท้อนถึงระบบคุณค่าของยุคที่ให้รางวัลกับความเร็ว ความแปลกใหม่ และการเป็นผู้นำเทรนด์ รวมถึงอาจด่วนสรุปว่าสิ่งเก่ากำลังจะอวสานไป อย่างไรก็ดี ความหลงใหลนี้ก็มีคุณูปการ เพราะมันผลักให้เกิดการทดลองและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่บางครั้งก็เปลี่ยนโลกไปเลย
แต่ในอีกด้านหนึ่ง Lindy Effect เสนอว่าหากสิ่งใดอยู่รอดมาได้นาน ย่อมมีแนวโน้มจะอยู่ต่อไปได้อีกนาน เพราะได้ผ่านการคัดกรองโดยกาลเวลา ความรู้ ทักษะ หรือวิธีปฏิบัติที่ยืนหยัดท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง จึงสะท้อนถึงคุณค่าที่ไม่ผันแปร แนวคิดนี้ช่วยปกป้องสังคมจากการหลงใหลในสิ่งใหม่ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์
และย้ำให้เห็นความสำคัญของบทเรียนจากประวัติศาสตร์ วรรณกรรมคลาสสิก หรือภูมิปัญญาทางศาสนา ซึ่งล้วนเป็นมรดกทางความคิดที่ควรค่าแก่การอ้างอิงเพื่อกำหนดทิศทางอนาคต
คำว่า “Lindy” เดิมมาจากชื่อร้านอาหารเล็กๆ ในนิวยอร์กซิตี้ ซึ่งเป็นที่รวมตัวของนักแสดงตลกและนักเขียนบทโทรทัศน์ในยุคหนึ่ง พวกเขาสังเกตว่า รายการที่ออกอากาศได้นาน มักมีแนวโน้มจะอยู่ต่อได้อีกระยะเวลาใกล้เคียงกัน เช่น รายการที่อยู่มาแล้วหนึ่งปี มักอยู่ได้อีกหนึ่งปี รายการที่อยู่มาแล้วสิบปี ก็มักอยู่ต่อได้อีกสิบปี
ข้อสังเกตนี้กลายเป็นต้นแบบของแนวคิด Lindy’s Law และถูกนำไปต่อยอดเชิงทฤษฎีโดยนักคณิตศาสตร์ Mandelbrot และต่อมาขยายผลโดยนาซิม ทาเล็บ (Nassim Nicholas Taleb)
Lindy Effect คือหลักการที่ใช้กับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายไปกับกาลเวลา เช่น หนังสือ ปรัชญา ภาษา หรือสถาบันทางสังคม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เสื่อมสลายทางชีวภาพเหมือนสิ่งมีชีวิต แต่มีโอกาสถูกขจัดด้วยปัจจัยภายนอก เช่น การแข่งขัน ถูกแทนที่ ถูกลืม
ถ้าสิ่งเหล่านี้อยู่มานานแล้ว แปลว่า สิ่งนั้นผ่านตัวกรองต่าง ๆ มาได้ แสดงถึงความทนทาน (robustness) บางอย่าง เขาจึงมองว่ายิ่งสิ่งใดอยู่มานานเท่าใด ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะอยู่ต่อไปได้อีก เช่น หนังสือที่ยังมีคนอ่านหลังผ่านไป 50 ปี ก็มีแนวโน้มว่าจะถูกอ่านต่อไปได้อีก 50 ปี
แนวคิดหรือคำสอนที่ส่งต่อกันข้ามยุค จึงมีความทนทานต่อกาลเวลามากกว่าสิ่งใหม่ที่ยังไม่มีหลักฐานรองรับ ตั้งแต่ระดับนโยบาย ไปจนถึงองค์กร และลงมาถึงชีวิตประจำวัน คำถามเดียวกันนี้ปรากฏซ้ำ ในระดับนโยบายการศึกษา หากมองผ่าน Neomania เราอาจเห็นเอไอเป็นเครื่องมือเร่งการเรียนรู้แห่งอนาคต
แต่หากพิจารณาผ่าน Lindy Effect บทบาทของครูที่ยืนหยัดในห้องเรียนมาแล้วหลายทศวรรษอาจมีคุณค่าบางอย่างที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้
ในระดับองค์กร คำถามนี้ปรากฏในรูปของการจัดสมดุลระหว่างการทดลองกับความมั่นคง หลายแห่งเลือกใช้โมเดลไฮบริด เปิดพื้นที่ให้ทีมงานทดสอบเทคโนโลยีใหม่อย่างจำกัด
เช่น ให้ทีมผลิตภัณฑ์ลองใช้ AI ช่วยวิเคราะห์หรือร่างเอกสาร ขณะที่ทีมกฎหมายประเมินผลกระทบด้านจริยธรรมและกฎหมาย การจัดวางเช่นนี้ทำให้องค์กรสามารถกล้าทดลอง ภายใต้กรอบที่ยึดโยงกับหลักการที่ผ่านการพิสูจน์
นอกจากนี้ แรงผลักทั้งสองก็ปรากฏชัดในการตัดสินใจในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป นักศึกษาอาจลังเลระหว่างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่ใช้เอไอที่สามารถปรับเนื้อหาแบบเฉพาะบุคคล กับวิธีเรียนรู้ผ่านการอ่านหนังสือและจดโน้ตแบบเดิม
ในขณะที่ Neomania ชวนให้ตื่นเต้นกับอนาคตที่เป็นไปได้ Lindy Effect เตือนให้ตระหนักถึงคุณค่าที่ผ่านการพิสูจน์ ความสามารถในการไตร่ตรองจึงเป็นทักษะสำคัญพอ ๆ กับการเปิดรับสิ่งใหม่
การออกแบบระบบไฮบริดที่ไม่ปฏิเสธทั้งของใหม่และของเดิม แต่คัดเลือกทั้งสองโดยอิงจากบริบท เหตุผล และระยะเวลาจึงสำคัญ ระบบเช่นนี้ไม่เพียงส่งเสริมการเรียนรู้จากความล้มเหลวในพื้นที่ทดลอง (sandbox) แต่ยังให้คุณค่ากับความรู้ที่ตกผลึกแล้วในระบบแกนกลาง
ท้ายที่สุดแล้ว คำถามสำคัญคือ เราจะออกแบบกลไกการอยู่ร่วมกันของทั้งสองพลังนี้อย่างไร ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการใช้ชีวิต ให้ต่างฝ่ายต่างเสริมความสามารถของกันและกัน ไม่ใช่ลดทอนหรือลบล้างซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจเป็นแนวทางที่พาเราไปสู่อนาคตที่ไม่เพียงแค่ล้ำหน้า แต่ยังมั่นคงและยั่งยืนในเวลาเดียวกัน







