จับตาฝนปลาย ก.ย. ปรับแผนลดการระบายน้ำ 'เขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์'

สทนช. ชี้ปลาย ก.ย. ยังต้องเฝ้าจับตาฝน ปรับแผนลดการระบายเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์ ขณะที่เขื่อนอุบลรัตน์เร่งไล่น้ำลงโขงก่อนฝนเข้าอีสานอีกครั้ง
วันนี้ (22 กันยายน 2568) นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ สทนช. ได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมชลประทาน (ชป.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และผู้ทรงคุณวุฒิ จากการประชุม กรมอุตุนิยมวิทยาได้ร่วมกับ สสน. ประเมินสถานการณ์ฝนพบว่า พายุไต้ฝุ่น “รากาซา (RAGASA)” มีแนวโน้มจะเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ในวันนี้ จากนั้นจะเคลื่อนตัวตามแนวชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีน ลงสู่อ่าวตังเกี๋ย และจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนก่อนที่ขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 25 – 26 กันยายน 2568 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ
อิทธิพลพายุ นี้จะทำให้ร่องมรสุมและมรสุมที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ช่วงวันที่ 22 กันยายน - 1 ตุลาคม 2568 เกิดร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคอีสานตอนบน ประกอบกับมรสุมมีกำลังปานกลาง อาจทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักเพิ่มขึ้น จึงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักบริเวณพื้นที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดตาก จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี
จากสถานการณ์ดังกล่าว ในช่วงตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนกันยายนจึงเป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ที่จะต้องบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุมที่สุด ในวันนี้ที่ประชุมจึงได้ร่วมกันพิจารณาเป็นรายลุ่มน้ำ ดังนี้ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันมีการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาที่อัตรา 2,200 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที ซึ่งขณะนี้ยังส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดชัยนาท จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบโดยการคงอัตราการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาในอัตรานี้โดยไม่เพิ่มขึ้นอีก
ประกอบกับฝนที่จะตกในช่วงต่อไปจะไม่ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มสูงมากนัก ที่ประชุมจึงได้มีมติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พิจารณาปรับแผนลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลจากเดิมอยู่ที่อัตรา 10 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เป็น 5 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์จากเดิมอยู่ที่อัตรา 20 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เป็น 10 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน โดยให้เป็นการลดการระบายในลักษณะขั้นบันไดตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 26 กันยายน 2568 ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงมาที่สถานี C2 ที่จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ยังสามารถคงอัตราการระบายที่เขื่อนเจ้าพระยาได้ที่อัตรา 2,200 ลบ.ม.ต่อวินาที ไปได้จนถึงสิ้นเดือนกันยายน จากนั้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม
ผลจากการประเมินสถานการณ์ฝนพบว่ามีแนวโน้มจะคลี่คลายลง ก็จะปรับลดการระบายที่เขื่อนเจ้าพระยาลงได้อีกเพื่อช่วยลดผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อนลงได้
รองเลขาธิการ สทนช.กล่าวต่อว่า สถานการณ์น้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขณะนี้มีปริมาณน้ำคิดเป็น 76% ของความจุเก็บกัก ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณน้ำที่จะไหลเข้าเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ที่ประชุมเห็นควรให้ปรับแผนเพิ่มการระบายน้ำจากเดิมอัตรา 500 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 650 ลบ.ม.ต่อวินาที โดยทยอยปรับเพิ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2568 ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสภาวะน้ำล้นตลิ่งในช่วงตลิ่งต่ำบางพื้นที่ในจังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สำหรับสถานการณ์ลุ่มน้ำชี ที่พบว่าปริมาณน้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำมากถึง 78% ของความจุเก็บกัก และจากสถานการณ์ฝนคาดว่าจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำมาเพิ่มมากขึ้นอีกอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของตัวเขื่อน ในวันนี้ คณะกรรมการลุ่มน้ำชีได้ประชุมร่วมกันและมีมติให้ กฟผ. ปรับแผนการระบายน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จากเดิมระบายน้ำไม่เกิน 25 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน เป็นระบายน้ำไม่เกิน 35 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน โดยต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำซึ่งเป็นความร่วมมือของหน่วยงานในทุกจังหวัดของลุ่มน้ำชีในการช่วยลำเลียงน้ำลงสู่จังหวัดอุบลราชธานีก่อนไหลลงแม่น้ำโขงอย่างประณีตและส่งผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด
“จากผลการประชุมในวันนี้ สทนช. และทุกหน่วยงานยังต้องติดตามสถานการณ์เป็นรายวัน และกลับมาร่วมกันประเมินสถานการณ์อีกครั้งในวันศุกร์ที่ 26 กันยายน 2568 ในช่วงปลายเดือนนี้ถือเป็นช่วงโค้งสุดท้าย หากสามารถบริหารจัดการให้ผ่านต้นเดือนตุลาคมไปได้ สถานการณ์อุทกภัยในทุกพื้นที่จะเริ่มคลี่คลายลง ซึ่งถือว่าสถานการณ์น้ำในปีนี้ไม่เทียบเท่าสถานการณ์อุทกภัยปี 2554 อย่างแน่นอน
เนื่องจาก สทนช.และทุกหน่วยงานได้วางแผนการระบายน้ำจากเขื่อนขนาดใหญ่เป็นการล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี เพื่อเตรียมการรองรับปริมาณฝนที่จะตกมามากในปีนี้ ดังนั้น การที่ทุกหน่วยงานได้บูรณาการร่วมมือกันบริหารจัดการน้ำเชิงรุก ตามกลไกของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ตลอดจนมีการสื่อสารทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้มากที่สุดอย่างต่อเนื่อง ก็จะให้ทำเราสามารถผ่านวิกฤติการณ์ไปได้” รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย







