กีฬาใหม่ให้ข้อคิดใหม่ ๆ | อาหารสมอง

กีฬาใหม่ให้ข้อคิดใหม่ ๆ | อาหารสมอง

ถ้าท่านเห็นคนเล่นตีลูกพลาสติกสีเหลืองแกมเขียวลักษณะคล้ายลูกตะกร้อแต่เล็กกว่าลูกเทนนิส โดยเล่นกันในคอร์ทแบดมินตันที่มีเน็ตสูงแค่เอว ก็อย่าคิดว่าเขาเล่นอะไรกันแผลงๆ นะครับ

เขากำลังเล่นกีฬาที่กำลังดังทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ที่มีชื่อว่า “พิคเคิลบอลล์” (Pickleball)

Pickleball มิใช่กีฬาใหม่ มีมาตั้งแต่ปี 2508 กำเนิดในรัฐวอชิงตันของสหรัฐอเมริกา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชื่อ Joel Pritchard กับเพื่อนอีก 2 คน ร่วมกันสร้างเกมนี้ขึ้นมา โดยใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่มาผสมกันกล่าวคือ ใช้คอร์ทแบดมินตัน ไม้ตีปิงปอง และลูกพลาสติกที่มีรูมาเล่นแบบเทนนิส โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นเกมสนุกๆ ที่ครอบครัวและเพื่อนเล่นกัน 

ไปๆ มาๆ ก็เกิดมีคนเห็น และเอาไปเล่นกันจนระบาดไปทั่วศูนย์พักผ่อนและสวนสาธารณะในสหรัฐอเมริกาในยุค 70 และ 80 ต่อมาเล่นกันในต่างประเทศในยุค 2000 โดยเฉพาะใน 10 ปีที่ผ่านมาในแคนาดา ทวีปยุโรปออสเตรเลีย เอเชีย (เช่น ไทย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม) หลายประเทศในแอฟริกาและตะวันออกกลาง รวมกันทั้งหมดกว่า 70 ประเทศ

ในตอนแรกเล่นกันในกลุ่มผู้สูงวัย เพราะไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนเทนนิสที่คอร์ทใหญ่กว่า (27 x 78 ฟุต ในขณะที่ Pickleball มีขนาดเพียง 20 x 44 ฟุต) และหากไม่ฝึกฝนมาก่อนก็ตีไม่ถูกลูก ต่อมากลุ่มเด็กเล็กวัยรุ่นและวัยหนุ่มก็นิยมเล่นกันมากขึ้น เพราะเล่นง่าย เล่นได้ทุกวัย ไม่หักโหมมาก และเป็นกีฬาที่เล่นกันในครอบครัวและเพื่อนได้อย่างสนุกสนาน

ปัจจุบันไม้ตีได้เปลี่ยนไปเป็นไม้ที่ใหญ่กว่าไม้ปิงปอง มีลักษณะคล้ายแร็กเกตเทนนิสแต่หน้าแคบกว่า และก้านสั้นกว่า ทั้งสองด้านเป็นแผ่นเรียบ อาจเป็นไม้ หรือไฟเบอร์กลาส หรือกราฟไฟต์หรือเป็นส่วนประกอบของคาร์บอน-ไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบา เพื่อตีลูกที่ไม่เด้งพื้นเท่าลูกเทนนิส เน็ตที่กั้นนั้นก็มีความสูงเท่ากับเน็ตของเทนนิส คือ สูงจากพื้น 3 ฟุต

คอร์ทของ Pickleball แตกต่างจากคอร์ทแบดมินตันเพียงเล็กน้อยคือ หลังเน็ตซึ่งกั้นกึ่งกลางคอร์ทจะมีเส้นขนานอยู่ทั้งสองฝั่ง โดยห่างจากเน็ต 7 ฟุต พื้นที่ทั้งสองฝั่งที่กั้นโดยเน็ตและเส้นขนานนี้เรียกว่าครัว (kitchen) ส่วนเส้นที่เหลือใช้เส้นของคอร์ทแบดมินตัน

กติกาก็ง่าย ๆ คือตีลูกให้ฝ่ายตรงข้ามรับไม่ได้ เริ่มต้นเกมด้วยการเสิร์ฟลูกซึ่งตีจากระดับเอวให้เด้งลงคอร์ทฝั่งตรงข้ามที่อยู่เยื้องกันโดยให้ลงในบริเวณหลัง “ครัว” ฝ่ายตรงข้ามจะโต้กลับได้ก็ต่อเมื่อลูกตกพื้นแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อลูกข้ามมาแล้วฝ่ายเสิร์ฟก็ต้องให้ลูกตกแล้วครั้งหนึ่งจึงจะตีกลับไปได้ กฎนี้เป็นหัวใจสำคัญ เรียกกันว่า “กฎลูกตกสองครั้ง”

กฎนี้มีไว้เพื่อไม่ให้ดักตีลูกตอนเสิร์ฟกลางอากาศ (วอลเลย์) และป้องกันมิให้โต้กลับด้วยลูกวอลเลย์ในขณะที่ยืนอยู่ใน “ครัว” (ห้ามตีลูกวอลเลย์ หากยืนอยู่ใน “ครัว” ทุกขณะ) ทั้งหมดนี้เพื่อให้สามารถโต้ลูกกันไปมาได้อย่างสนุก

คนที่ได้แต้มคือฝ่ายที่เสิร์ฟเท่านั้น คู่ต่อสู้เสียแต้มเมื่อตีติดเน็ต ตีออกนอกคอร์ท รับลูกไม่ได้ หรือฟาวล์ เพราะตีลูกวอลเลย์ขณะอยู่ใน “ครัว” หนึ่งเกมประกอบด้วย 11 แต้ม และชนะเมื่อได้แต้มมากกว่าคู่ต่อสู้อย่างน้อย 2 แต้ม

ที่เล่ามายืดยาวก็เพราะอยากชวนให้ทำสนาม Pickleball และเล่นกันในครอบครัว ใช้สนามแบดมินตันเดิมที่มีพื้นเป็นซีเมนต์เรียบ ใช้เน็ตของเทนนิส ใช้ไม้ตี Pickleball และลูกจากร้านกีฬาใหญ่ ๆ (ผมเช็คดูแล้วมีอุปกรณ์ขายในร้านกีฬาใหญ่บนถนนบรรทัดทองในบริเวณที่ขาเสื้อผ้ากีฬา จุฬาซอย 10)

ในบ้านเราเป็นที่นิยมกันมากขึ้นทุกวัน เล่นกันทั้งในร่มและกลางแจ้งในคอร์ทแบดมินตันเก่าและสร้างขึ้นมาใหม่ในคลับกีฬาหลายแห่ง ในสหรัฐอเมริกามีคนเล่นมากขึ้นทุกทีจนมีคนเล่นรวมกัน 50 ล้านคน มีคอร์ทกว่า 68,000 แห่ง จำนวนมากมาจากรื้อสนามเทนนิสเก่า (หนึ่งสนามสร้างได้สี่สนาม) ทั้งโลกเชื่อว่ามีคนเล่นหลายร้อยล้านคนและกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

Pickleball มักเล่นกันสนุกสนานแบบผลัดกันเล่น ไม่จริงจังเพราะเป็นกีฬาที่ทุกคนก็เล่นได้เลยจนมีลักษณะคล้าย “ชุมชน” อย่างหนึ่ง มีนักสังคมวิทยาชื่อ Ray Oldenburg เสนอแนวคิดเรื่อง “Third Place” ว่านอกจากบ้านและที่ทำงานแล้ว ยังอาจมี “สถานที่ๆ สาม” หากมีสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่เหมาะสมจนเกิด “ชุมชน”

เช่น ศูนย์การค้า ร้านกาแฟ ฯลฯ ซึ่งในที่นี้ Pickleball มีส่วนในการสร้าง “ชุมชน” เช่นกัน ลักษณะที่ผู้คนสามารถมาเล่นกันได้โดยไม่รู้จักกันมาก่อนนั้นต่างจากกีฬาอื่นที่มักเล่นแบบแยกวัยทำให้สามารถสร้างมิตรภาพข้ามสถานะต่าง ๆ ได้ง่ายกว่า

ความเป็นธรรมดาของกีฬานี้ที่ใครก็เล่นได้เลย ทำให้คนเล่น “รู้สึกดี” สร้าง “ความเป็นตัวตน” แก่ผู้คนต่าง ๆ ได้ง่ายตั้งแต่วันแรกที่เล่น นอกจากนี้การที่ใช้อุปกรณ์ไม่ซับซ้อนในโลกที่อยู่ยากด้วยเทคโนโลยี ทำให้รู้สึกถึงความง่ายของโลก และหากเป็นคนสูงวัยก็เตือนให้นึกถึงความหลังในวัยเด็กซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งซึ่งไม่ซับซ้อน และง่ายต่อการดำเนินชีวิต

ในใจคนเล่น Pickleball ส่วนใหญ่อาจถือว่าเป็นงานอดิเรก เล่นแบบสนุก ใช้ทักษะง่าย ๆ มากกว่าเป็นกีฬาที่ต้องเล่นให้เกิดความเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง (ดังที่เรียกกันทางวิชาการว่า Hyper-Specialization)

ดังนั้น มันจึงเป็นความสนุกอีกแบบที่ต่างจากการเล่นกีฬาสมัยใหม่หลายอย่างที่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง อีกทั้งต้องฝึกฝนเพื่อเล่นกับคนอื่น  นี่คือเสน่ห์ที่อยู่บนความธรรมดาและความง่าย

หากการเล่น Pickleball ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางดังที่เป็นอยู่ โดยไม่เปลี่ยนไปเป็นการเล่นเพื่อแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว มนุษย์เราก็จะมีกีฬาอีกอย่างหนึ่งที่เล่นกันง่ายๆ หลังบ้าน แค่มี ลานซีเมนต์ มีเน็ตแบดมินตันแขวนติดดิน มีไม้ปิงปองและหาลูกมาเล่นก็สนุกแล้ว