"ออม สุชาร์" โต้ฮุบบริษัท แจงยิบปมซื้อหุ้น 4% เปิดสาเหตุไม่ไว้ใจหุ้นส่วน

เปิดใจล่าสุด! "ออม สุชาร์" โต้ฮุบบริษัท แจงยิบปมซื้อหุ้น 4% เปิดสาเหตุไม่ไว้ใจหุ้นส่วน เพราะจับได้ปลุกแบรนด์เก่ามาค้าแข่ง
จากกรณีดราม่าแฉดาราดัง ฮุบบริษัท โดยมีการโยงไปที่ "ออม สุชาร์" ซึ่งออมยืนยันว่าตนเองไม่เคยโกงใคร และขณะนี้เรื่องอยู่ในกระบวนการของศาล ขณะที่เมื่อวานนี้ (18 ก.ย. 68) สองผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดัง "พริม ณัฐชา" และ "ศสา" อดีตผู้จัดการดารา ได้ออกมาเปิดใจในรายการ "โหนกระแส" ถึงประเด็นการซื้อหุ้น 4% ที่ทำให้ออมกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ล่าสุดวันนี้ (19 ก.ย. 68) นางเอกสาว "ออม สุชาร์ มานะยิ่ง"ก็ได้ออกมาชี้แจงทุกประเด็น โดย ออม กล่าวว่า ตอนแรกเริ่มเราทำธุรกิจด้วยกัน ก่อตั้งกันมา 3 คน ด้วยความราบรื่นมาตลอด ตอนแรกสุดที่ตกลงกันคือ ออม 45% พริม 45% และ ศสา 10% แต่ต่อมาพริมบอกว่าถ้าถือหุ้นกันแบบนี้จะตัดสินใจหรือบริหารยาก จึงขอปรับเป็น พริม 51% ออม 45% ศสา 4% และหลังจากนั้นพริมก็ยังยืนยันว่าจะแบ่ง 51% 45% 4% ตามเดิม โดยออมบอกว่าตนเป็นดารา ไม่ได้มีความรู้เรื่องธุรกิจ จึงยอมตามพริมไป แต่สุดท้ายเราก็มาตกลงกันอีกครั้งในตอนจดทะเบียนว่า พริม 48% ออม 48% ศสา 4%
จากนั้นเรื่องราวก็ดำเนินไป กระทั่งมีสิ่งที่ทำให้ออมเสียใจที่สุดคือตอนที่เข้าไปใน Google Drive ของ Fleen Beauty เพื่อจะหาโลโก้แบรนด์ แต่พอค้นหากลับไปพบไฟล์โลโก้ของ RAD ซึ่งมันเป็นโฟลเดอร์หลังบ้านของเราเอง ทำไมถึงมีไฟล์ของแบรนด์อื่น ทั้งที่เขายืนยันกับเราก่อนแล้วว่าเขาเลิกทำ RAD แล้วก่อนที่จะมาทำ Fleen กับเรา แต่พอมาเจอในโฟลเดอร์ของเราเองแบบนี้ เรารู้สึกเสียใจทันที
ออม ยืนยันว่า รู้ก่อนแล้วว่าพริมทำแบรนด์ RAD มาก่อน แต่วันที่มาคุยกันว่าจะทำ Fleen เราได้เห็นว่าแบรนด์ RAD ไม่ได้มีการส่งงบให้นายทะเบียน จนถูกคัดชื่อออก เป็นอันว่าไม่ได้ประกอบกิจการนี้แล้ว เราจึงคิดว่าเขาหยุดแล้ว แล้วมาเริ่มทำ Fleen กับเราในปี 2566 แต่ปรากฏว่าในปี 2567 กลับพบหลักฐานว่าพริมไปจดทะเบียนแบรนด์ RAD รอบ 2 (ขอเรียกว่า RAD2) จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามั่นใจว่าเขาคิดจะ "ค้าแข่ง" ด้วยผลิตภัณฑ์เดียวกัน แม้ว่าจะไม่มีระบุในสัญญาผู้ถือหุ้นในเรื่องการห้ามค้าแข่ง
แต่ทางทนายความของออมยืนยันว่ามันมีข้อห้ามนี้อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรื่องการห้าม "กรรมการบริษัท" มาทำการค้าแข่งกัน แล้วทำให้เกิดความเสียหาย สามารถฟ้องร้องได้
"ตอนที่รู้ว่าพริมกำลังจะมาทำแบรนด์ใหม่ที่ขายสิ่งเดียวกัน ใช้โรงงานเดียวกัน แพ็คเกจจิงก็ทำที่เดียวกัน ทำของสิ่งเดียวกันมาขายแข่งกัน เขาแบ่งโฟกัสไปพัฒนาแบรนด์ใหม่ ทั้งที่เราทุ่มเทให้ Fleen มาก ๆ ผลิตคลิป ทำคลิป โปรโมทขาย Fleen มาตลอด แต่ผู้ถือหุ้นอีกคนกลับแบ่งโฟกัสไปทำอีกแบรนด์ที่ขายของแบบเดียวกัน มันถึงได้รู้สึกเจ็บปวด" ออม กล่าว
ออม เล่าต่อว่า ส่วนเรื่องการซื้อหุ้น 4% ของพี่ศสานั้น ศสาถืออยู่ 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นหุ้นละ 10 บาท มูลค่า 1 แสนบาท เราเสนอว่าขอซื้อ 1 ล้านบาท แต่พี่ศสาต่อรองขอ 3 ล้าน แต่เราบอกว่าแพงเกินไป จึงมาสรุปที่ราคา 2.5 ล้านบาท (250 เท่าของราคาจริง) ออมยืนยันว่าไม่เคยพูดว่าบริษัทขาดทุนเพื่อบีบให้ศสาขายหุ้น
ทั้งนี้ ออม ได้ชี้แจงต่อว่า อีกหนึ่งประเด็นคือเรื่องการลบไฟล์ เป็นไฟล์โฆษณาของลิปสติก สินค้าใหม่ที่ยังไม่ได้ปล่อย แต่พอพริมรู้เรื่องการซื้อหุ้น 4% ไป ปรากฏว่าไฟล์โฆษณาสินค้าใหม่ถูกลบไปจาก Google Drive ของบริษัท ซึ่งคนที่มีอำนาจลบมีแค่ 4 คน คือ 1.พริม 2.อัง 3.ทีมงานของอัง 4.เจ้าหน้ากราฟิก ซึ่งเราไม่รู้จริง ๆ ว่าใครลบ และได้มีการไปแจ้งความคดีอาญา เอาผิดคนที่ลบ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าเราเริ่มไม่ไว้ใจพริมให้เข้าถึงอำนาจบริหารต่าง ๆ จึงปลดเขาออกจากกรรมการเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นหลังจากนี้อีก
ซึ่งต่อมาในรายการได้มีการโฟนอินไปหาพริม เพื่อให้สองฝ่ายได้คุยกัน โดยพริมยืนยันว่าการที่มีคนไปพบไฟล์โลโก้ RAD ใน Google Drive ของ Fleen มันไม่ใช่การอัปโหลดลงไปในโฟลเดอร์ Fleen แต่มันใช้คอมพิวเตอร์ของพริมอัปโหลดไฟล์ขึ้นไปในโฟลเดอร์อื่น แต่มันไปโชว์ในช่อง Shared with me (แชร์กับฉัน) ทำให้คนอื่นเข้ามาเห็น และสุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ยังคงโต้กันไปมา พริมเสนอให้ปิดแบรนด์แล้วแยกย้ายกันไปเติบโต ซึ่งออมยืนยันว่าจะทำต่อไป บริษัทโตมาขนาดนี้ใครเขาจะปิดบริษัทกัน โดยยินดีจะซื้อหุ้นของพริมในราคาที่เป็นธรรม โดยให้บริษัทกลางมาประเมินราคา ส่วนเรื่องคดีความทั้งหมดก็ไปสู้กันในศาล







