'แม่ทัพภาค 2' กับกระแสชาตินิยม ตัวแปรประชามติ-เลือกตั้ง?

'แม่ทัพภาค 2' กับกระแสชาตินิยม ตัวแปรประชามติ-เลือกตั้ง?

บิ๊กกุ้ง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 กับกระแสชาตินิยม ตัวแปรประชามติ-เลือกตั้ง?

วิเคราะห์ประเด็น บิ๊กกุ้ง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 กับกระแสชาตินิยม ตัวแปรประชามติ-เลือกตั้ง?

กระแสร้อนทางการเมืองที่หลายฝ่ายจับจ้องอยู่ในเวลานี้ หนีไม่พ้นความพยายามเร่งรัดแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล และรัฐสภา ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อตกลง หรือ “MOA” 5 ข้อ ที่พรรคภูมิใจไทย แกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทำร่วมกับพรรคประชาชน

หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย “คดีประชามติ” (10 ก.ย. 68) ตามที่ประธานรัฐสภายื่นคำร้อง โดยศาลรัฐธรรมนูญตั้ง 2 ประเด็นในการพิจารณาตามลำดับ ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

มติข้างมาก 5:2 วินิจฉัย ว่า รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติเห็นชอบ สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ก่อน ทั้งนี้การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย

ซึ่ง “รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”

ประเด็นที่ 2 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติกี่ครั้ง

มติข้างมาก 6:1 วินิจฉัย การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่

ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า มีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร

ครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

อนึ่ง การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้

นั่นเท่ากับว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่ “ประชาชนไม่สามารถเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้” ซึ่งคนที่ผิดหวังอย่างมากก็คือ พรรคประชาชน(ปชน.) ที่ต้องการ “ส.ส.ร.” หรือ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน

เห็นได้จาก พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองฯ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า คำวินิจฉัยของศาลธรรมนูญนั้นมีปัญหาจริงๆ ทำให้กระบวนการตอบคำถาม เนื้อหาของคำวินิจฉัย ที่ดูเหมือนปิดประตู ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งขัดหลักการประชาธิปไตย และขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยเมื่อปี 2564

ดังนั้น ในที่ประชุมมีข้อสรุปร่วมกัน 3 ข้อ ที่ทั้ง 3 พรรคเห็นตรงกัน ข้อสรุปที่ 1 การทำประชามติทั้งหมด 2 รอบ เริ่มจากให้รัฐสภาพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 15/1 คือกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาผ่าน 3 วาระแล้ว ก็จะจัดทำประชามติรอบแรก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 คำถามคือ

1.จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

2.เห็นด้วยกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 15/1 เกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่รัฐสภาเห็นชอบหรือไม่

และเมื่อมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ก็จะมีการจัดทำประชามติรอบที่ 2 เพื่อถามว่า ประชาชนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

“พริษฐ์” กล่าวว่า ข้อสรุปที่ 2 เห็นว่า กระบวนการดังกล่าวสามารถเดินหน้าเพื่อให้มีการจัดทำประชามติรอบแรกให้ทันพร้อมกับการเลือกตั้ง ภายในกรอบเวลา MOA ที่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังจากแถลงนโยบาย หากแถลงนโยบายช่วงปลายเดือนกันยายน 2568 หมายความว่า ต้องยุบสภาช่วงปลายเดือนมกราคม 2569 โดยเชื่อว่า ภายในกรอบเวลา 4 เดือน MOA สามารถเดินหน้าจัดทำประชามติรอบแรกพร้อมการเลือกตั้งได้

“ทุกพรรคเห็นตรงกันว่าสามารถยื่นและพิจารณาร่างแก้ไขและรัฐธรรมนูญหมวด 15 ได้เลย หากผ่านวาระที่หนึ่งไป แล้วกรรมาธิการพิจารณาเสร็จ สามารถส่งกลับในวาระที่สองช่วงเดือนธันวาคม ก็ทำให้สามารถให้ความเห็นชอบในวาระที่สามได้ภายในเดือนธันวาคม 2568 ก็ยังมีเวลาในเดือนมกราคมที่ต้องเคาะเรื่องของวันจัดทำประชามติ ซึ่งก็จะเกิดขึ้นกับการยุบสภาไม่เกินช่วงปลายเดือนมกราคม” พริษฐ์ กล่าว

“พริษฐ์” กล่าวว่า ข้อสรุปที่ 3 แต่ละพรรคจะหารือภายในเพื่อทบทวนจัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 15/1 ให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้ยึดโยงกับประชาชนมีส่วนร่วม โดยตั้งเป้าว่า ภายในสัปดาห์หน้าทั้ง 3 พรรค ต้องนำเสนอแนวคิดร่างของตนเองต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการ

เมื่อถามถึงเนื้อหาหลักของพรรคประชาชน “พริษฐ์” กล่าวว่าจะต้องมีการหารือกันภายในช่วง 2-3 วันข้างหน้านี้ เนื่องจากเนื้อหาเดิมในร่างที่ค้างอยู่เป็นการให้เสนอ ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจำนวน 200 คน 100 คนมาจากแบ่งเขตจังหวัด อีก 100 คนมาจากบัญชีรายชื่อระดับประเทศ เมื่อมีคำวินิจฉัยมาก็ต้องมีการทบทวน ว่าการมี ส.ส.ร.โดยตรงจะไปต่อได้หรือไม่ หากขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องออกแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางตรง และยึดโยงกับประชาชนทางตรง ซึ่งมีหลายแนวคิดที่นำเสนอสังคม ขณะนี้จะเป็นขั้นตอนที่พักพูดคุยกันและสรุปเป็นข้อเสนอ

แน่นอน, ความต้องการริเริ่มเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และยุบสภา ภายใน 4 เดือน เป็นเงื่อนไขที่พรรคประชาชน ใช้ต่อรองโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีให้กับพรรคภูมิใจไทย ที่มี “อนุทิน” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะเห็นว่า รัฐธรรมนูญ 2560 มีที่มาจากการรัฐประหารของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ยึดโยงกับประชาชน ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกันบางพรรคการเมืองที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มีข้ออ้างเรื่องความเคร่งครัด เข้มข้นในการตรวจสอบนักการเมือง และการเข้าสู่การเมือง ทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถไม่ยอมเข้าสู่การเมือง

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร กระแสต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ ก็ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะข้อกล่าวหา แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ตัวเองของนักการเมือง

ที่สำคัญ คือ ประเด็นที่ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กเอาไว้(11 ก.ย.68) หัวข้อ “ทำไมต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ”

โดยระบุว่า ต้องถามนักการเมืองว่า ทำไมต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ที่สำคัญประชาชนจะได้อะไรจากสิ่งที่พวกท่านทำ

ตนดูแล้วไม่เคยเห็นชาวบ้านชาวช่อง มานั่งบ่นปัญหารัฐธรรมนูญเลย มีแต่นั่งบ่นปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ นักการเมืองโกง ปัญหาอธิปไตยชายแดนเขมร

“หมอวรงค์” ชี้ว่า สิ่งที่นักการเมืองเขากลัวในรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ ความเข้มงวดเรื่องคุณธรรมจริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต การแปรญัตติงบให้ส.ส. การเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ปัญหาการทุจริตแล้วถูกตัดสิทธิ์ อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระที่จะคอยตรวจสอบนักการเมือง รวมทั้งการยุบพรรคการเมือง

เขาระบุอีกว่า นักการเมืองบางกลุ่ม ต้องการให้มีการรื้อสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นอุปสรรคต่อพวกเขาในการใช้อำนาจ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ถอดนายกฯออกไปหลายคน คนสีเทาหลายคนที่มีอำนาจ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ พรรคการเมืองที่คิดล้มล้างถูกยุบพรรค

ส่วนสาเหตุที่คนเหล่านี้ต้องการรื้อ และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ด้วยการตั้ง ส.ส.ร. “หมอวรงค์” ชี้ว่า

1.จะได้ใช้คำว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน มาหลอกประชาชน ทั้งๆที่ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ และประเทศต้องเสียงบทำประมติร่วม 6,400 ล้านบาท เพื่อสนองตัณหานักการเมือง และมีแต่นักการเมืองได้ประโยชน์

2.เหตุที่ต้องการใช้ส.ส.ร.มาร่างใหม่ เพื่อให้ดูดีว่าเป็นตัวแทนประชาชน ทั้งๆที่อำนาจในการร่างหรือแก้รัฐธรรมนูญนั้น เป็นอำนาจของส.ส.และส.ว. ตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชน ที่ประชาชนเลือกมาแล้ว ซึ่งย้อนแย้งกับการมีสสร. และศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ไม่อาจเลือกส.ส.ร.มาร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

3.ส.ส.ร.ที่เลือกมานั้น ล้วนจะเป็นนอมินีของพรรคการเมือง ถ้ามีการเลือกเข้าจริง ก็จะมาดำเนินการทำในสิ่งที่พรรคการเมืองต้องการ โดยเฉพาะประเด็นดังที่กล่าวที่นักการเมืองฉ้อฉลต้องการยกเลิก

4.การใช้ส.ส.ร.มาร่างฉบับใหม่ การยัดไส้ประเด็นเหล่านี้จะง่าย เพราะการร่างใหม่ทั้งฉบับ มีเป็นร้อยมาตรา การไปตรวจสอบจะยากกว่า ที่สำคัญถ้าเขาสามารถยกเลิก ประเด็นต่างๆที่กล่าวมาได้ เท่ากับคือการนิรโทษให้นักการเมืองที่เคยถูกถอดถอน หรือถูกตัดสิทธิ์

5.นักการเมืองไม่กล้าที่จะแก้ไขรายมาตรา เพราะประชาชนจะจับได้ไล่ทันต่อประเด็นที่จะแก้ไข

“คงต้องติดตามมหากาพย์ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่าจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน หรือวิกฤติทางการเมือง” หมอวรงค์ ทิ้งท้าย

มาถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่า มีสองกระแสหลักเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 คือ กระแสแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการร่างใหม่ทั้งฉบับ ให้เป็นประชาธิปไตย ยึดโยงกับประชาชน เป็นฉบับ “ประชาชน”

อีกกระแส คัดค้านต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพราะเห็นว่า หลายมาตราในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบนักการเมืองอย่างเข้มข้นในหลายเรื่อง ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมือง ส่วนมาตราที่มีปัญหา มีผลกระทบในทางปฏิบัติ ก็สามารถแก้ไขได้ในรายมาตรา ไม่จำเป็นต้องแก้ไขทั้งฉบับ

นี่คือ อุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งของการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ที่แม้ว่า คนที่คัดค้านต่อต้านจะไม่ได้อยู่ในรัฐสภาเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่า “นอกสภา” หลายกลุ่มมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งยังเป็นแนวร่วมอย่างสำคัญ กับกลุ่มคนที่เห็นว่า เรื่องปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนสำคัญกว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญ และถ้ากระแสนี้ซึมซับลงไปถึงประชาชนรากหญ้า คนยากคนจน ก็อาจยิ่งได้แนวร่วมเพิ่มขึ้น

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น จตุพร พรหมพันธุ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองแถวหน้า กล่าวเอาไว้ในการไปออกรายการสถานีโทรทัศน์บางช่องว่า สิ่งที่อาจไม่เป็นไปตามคาดหวังกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ให้สังเกตเวลานี้ แม่ทัพภาคที่ 2 เดินสายยิ่งกว่า ลำไย ไหทองคำ เสียอีก”

“จตุพร” ชี้ว่า กระแสนี้อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าไม่เหมือนเมื่อปี 2566 และอาจส่งผลต่อการลงประชามติด้วยก็ได้ จึงนับว่าน่าวิเคราะห์อยู่ไม่น้อย

'แม่ทัพภาค 2' กับกระแสชาตินิยม ตัวแปรประชามติ-เลือกตั้ง?

สำหรับ “แม่ทัพภาค 2” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง หรือ “บิ๊กกุ้ง” รวมทั้งแฟนคลับให้ฉายา “แม่ทัพมนต์แคน” เพราะมีใบหน้าคล้าย นักร้องลูกทุ่งหมอลำชื่อดัง “มนต์แคน แก่นคูน” นั้น มีบทบาทสำคัญในช่วงวิกฤตการณ์ชายแดนและเกิดเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา

ด้วยท่วงทำนองแม่ทัพ ผู้มี 4 สถาบันอยู่ในหัวใจคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน พร้อมมอบกายถวายชีวิตให้กับการ “ปกป้องอธิปไตย” ทุกตารางเมตร และพร้อมโต้ตอบแบบตาต่อตาฟันต่อฟันกับกัมพูชา ทั้งยังมีภาพของนักรบผู้เคียงบ่าเคียงไหลกับลูกน้องในสนามรบ เป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่เพียงเท่านั้น ในยามปกติยังเป็นคนยิ้มง่าย อ่อนโยน ไม่ถือเนื้อถือตัว เป็นกันเองกับทุกคน จนยิ่งเติมเต็มความเป็น “แม่ทัพมนต์แคน” ขวัญใจทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นคนรุ่นใหม่ “หัวใจรักชาติ”

นอกจากสิ่งที่ “จตุพร” พูดถึงว่า “แม่ทัพภาคที่ 2 เดินสายยิ่งกว่า ลำไย ไหทองคำ” ในสังคมโซเชียล ก็ถือว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ติด “ไวรัล” เลยทีเดียว

ที่น่าทำความรู้จัก แม่ทัพบุญสิน มักพูดเสมอในการตอบคำถามนักศึกษาคือ ตัวเองเป็นลูกนายสิบจนๆคนหนึ่ง เป็นเด็กบ้านนอก เป็นคนอีสาน (เกิดที่ตำบลบ้านจันทน์ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี)

เหนืออื่นใด ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ภารกิจหลักที่ “แม่บุญสิน” ปฏิบัติประจำทุกเดือน คือการมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่กำลังพล โรงเรียน และพี่น้องประชาชน รวมทั้งการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยการทำบุญและการสร้างพระพุทธรูปถวายวัด โดยตั้งใจที่จะสร้างถวายให้ครบ 20 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อนจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน พ.ศ. 2568

แม่ทัพบุญสิน มีบ้านพักในค่ายสุรนารี ซึ่งเป็นบ้านพักประจำตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ที่มีห้องออกกำลังกายเฉพาะ และห้องพระ โดยมีวิถีชีวิตประจำวันที่ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ การตักบาตรในตอนเช้า การนั่งสมาธิ และการให้อาหารสัตว์เลี้ยง คือสุนัขที่รับมาอุปถัมภ์ภายในค่าย

ด้านชีวิตครอบครัว แม่ทัพบุญสิน สมรสกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุพางค์พรรณ พาดกลาง ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ

ส่วนประวัติรับราชการ แม้จะไม่มีตำแหน่งยาวเหยียด แต่ทุกตำแหน่งล้วนสำคัญ โดยเฉพาะ เคยเป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3, ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22, เสนาธิการกองพลทหารราบที่ 3, ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3, ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3 (กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี), ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 (กองกำลังสุรนารี), รองแม่ทัพภาคที่ 2,แม่ทัพน้อยที่ 2, แม่ทัพภาคที่ 2

ด้วยกระแสที่มาแรงตั้งแต่ช่วงประกาศตัวท้าชนกับกัมพูชามาแล้ว จนถึงวันนี้ “แม่มนต์แคน” ก็ยังคงเป็นขวัญใจชาวบ้าน ครูบาอาจารย์ นักเรียนนักศึกษา คำพูดคำจาของ “แม่ทัพบุญสิน” แทบทุกคำถูกนำมาโพสต์จนกลายเป็น “ไวรัล” ในสังคมโซเชียล ภารกิจใหม่จึงเพิ่มเข้ามาโดยปริยาย คือ การได้รับเชิญไปบรรยายในมหาวิทยาลัย

'แม่ทัพภาค 2' กับกระแสชาตินิยม ตัวแปรประชามติ-เลือกตั้ง?

การบรรยายในมหาวิทยาลัยของ “แม่ทัพบุญสิน” ส่วนใหญ่จะเป็นหัวข้อ "เรื่องเล่าจากแม่ทัพกุ้ง" ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างความสามัคคีและประสบการณ์จากแนวหน้าสู่แนวหลัง จนได้รับความสนใจจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ

อย่างเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา ก็ไปบรรยายที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

เรื่อง “เรื่องเล่าจากแม่ทัพกุ้ง” เพื่อสร้างพลังแห่งความสามัคคี

วันที่ 16 กันยายน 2568 ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะมีการบรรยายพิเศษหัวข้อ “เรื่องเล่าจากแม่ทัพกุ้ง : จากแนวหน้าสู่แนวหลัง สร้างพลังแห่งความสามัคคี” ณ ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก และอีกหลายมหาวิทยาลัยที่ต่อคิวกันยาว

ถ้าสังเกตให้ดี การบรรยายของ “แม่ทัพกุ้ง” แม้ว่าจะหัวข้อเดียวกัน แต่บรรยากาศจะไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอารมณ์ร่วมผู้เข้าฟัง และคำถามของผู้ฟัง ที่แต่ละแห่งแตกต่างออกไป แต่ไม่ว่าจะถามอะไร “แม่ทัพกุ้ง” ก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา หยอกล้อ เป็นกันเอง เป็นธรรมชาติ และยึดผลประโยชน์บ้านเมือง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาชน ความดี ความกตัญญู และความสามัคคีเป็นที่ตั้ง

สิ่งที่น่าวิเคราะห์ตามมา จากกระแส “แม่ทัพกุ้ง” หรือ “แม่ทัพมนต์แคน” ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ก็คือ ตัวแทนของทหาร ตัวแทนของฝ่าย “อนุรักษนิยม” ถือว่าแตกต่างกับเมื่อปี 2566 ที่มีกระแส “เบื่อประยุทธ์” ที่ครองอำนาจนานถึง 8 ปี และฝ่ายค้าน อย่าง พรรคเพื่อไทย และก้าวไกล ก็สามารถฉวยโอกาสขี่กระแสได้ จนทั้งสองพรรคชนะเลือกตั้งในที่สุด

แต่ “กระแสชาตินิยม” และ “กระแสแม่ทัพมนต์แคน” ตอนนี้ ข่มกระแสอื่นทางการเมืองเอาไว้เงียบสนิท เท่านั้นไม่พอ ส.ส.พรรคส้มหลายคน ถูกทัวร์ลงอย่างหนัก ก็เพราะมีท่าทีที่ดูถูกเหยียดยามกองทัพ หรือ แค่มีความเห็นขัดแย้งกับการทำหน้าที่ของกองทัพ

อะไรไม่สำคัญเท่ากับ มีกระแส “เบื่อนักการเมือง” เป็นเงาตามตัว “กระแสชาตินิยม” อีกด้วย ไม่ต้องอื่นไกล กรณี “เปิดด่าน” ไทย-กัมพูชา ประชาชนมองว่า เป็นความต้องการของฝ่ายการเมือง เป็นเรื่องผลประโยชน์ ที่มองไม่เห็นค่าทหารที่เสียชีวิต ประชาชนที่บ้านเรือนถูกกระสุนปืนใหญ่กัมพูชา ทหารสู้แทบตาย แต่การเมืองอ่อนข้อให้กัมพูชา อะไรทำนองนั้น  

กลับมาที่ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่อยู่ในกรอบข้อตกลง “ยุบสภา” ภายใน 4 เดือน ถ้าดูจาก “กระแสนิยมแม่ทัพกุ้ง” หรือ “กระแสแม่ทัพมนต์แคน” เห็นได้ชัดว่า โอกาสที่จะไปไม่ถึงฝัน ไม่เพียงเกมในรัฐสภาจะไม่ง่ายอย่างที่คิด หากแต่ “กระแสภายนอก” ก็นับว่าสำคัญ และอาจเป็น “ตัวแปร” ทำให้ทั้งการลงประชามติ และการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้

ถ้ามีคำถามที่ยากจะตอบ รัฐธรรมนูญ ช่วยให้ประชาชนอิ่มท้อง ปลดหนี้ปลดสินได้อย่างไร หรือไม่?