อัปเดต คดีลงทุนปลูกปาล์มในอินโดนีเซีย ป.ป.ช. ไม่ชี้มูลความผิด 17 ราย

ป.ป.ช. มีมติไม่ชี้มูลความผิดอดีตผู้บริหาร ปตท. และ PTT.GE พร้อมผู้เกี่ยวข้องรวม 17 ราย คดีทุจริตโครงการลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย
กรณี มติ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 คดีโครงการลงทุนปลูกปาล์มน้ำมัน ในประเทศอินโดนีเซีย โดยผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้พ้นผิด รวมถึง
- นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีที กรีนเอเนอร์ยี่ จำกัด (PTT.GE)
- นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
- รวมถึงกลุ่มผู้บริหารและเอกชน รวมทั้งสิ้น 17 คน
ที่ประชุม ป.ป.ช. มีข้อสรุปว่า การดำเนินงานของผู้ถูกกล่าวหาไม่เข้าข่ายการกระทำผิดทั้งในทางอาญาและทางวินัย ข้อกล่าวหาจึงตกไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
คดีดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นเรื่องกล่าวหาอดีตผู้บริหาร PTT.GE ต่อ ป.ป.ช. ว่ามีการทุจริตในโครงการลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนและปรับเปลี่ยนองค์คณะหลายครั้งตลอดระยะเวลากว่า 12 ปี เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงในทุกโครงการที่เกี่ยวข้อง
จากผลการไต่สวน ข้อกล่าวหาว่ามีการรับผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนจากการลงทุนดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันชัดเจน อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นในภายหลังมาจากการดำเนินการของผู้บริหารชุดใหม่ซึ่งเข้ามาบริหารต่อจากนายนิพิฐ และนายประเสริฐ
อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช. ยังคงดำเนินการไต่สวนใน “ภาค 2” ของคดี โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้บริหารชุดถัดมา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจงใจขายทรัพย์สินโครงการทั้ง 5 แห่งในราคาต่ำกว่าท้องตลาดและต่ำกว่าราคาประเมินทางราชการ ส่งผลให้บริษัท ปตท. และ PTT.GE ขาดทุนอย่างหนัก อันอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 200
มติดังกล่าวนับเป็นการปิดฉากคดีการลงทุนปลูกปาล์มอินโดนีเซียในส่วนของผู้บริหารชุดแรก ขณะที่การสอบสวนต่อไปจะมุ่งตรวจสอบกระบวนการขายโครงการทั้งหมด ในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ซึ่งถูกมองว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร







