กทม. ลุยมาตรการลดฝุ่น PM2.5 เข้มกว่าเดิม หลังประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ

กทม. ลุยมาตรการลดฝุ่น PM2.5 เข้มกว่าเดิม หลังประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ

เห็นชอบแผน แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ปี 69 กทม. ผนึกกำลังภาคี ลุยมาตรการลดฝุ่นในเมืองกรุงเข้มกว่าเดิม หลังประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ

วันนี้ (9 ก.ย. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 2/2568 ณ ห้องนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า เขตพระนคร และประชุมออนไลน์ผ่านระบบ ZOOM Meeting ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานและหารือแนวทางดำเนินการร่วมกันระหว่างกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ

 

โดย ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 มีความก้าวหน้าในหลายเรื่อง แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือการเสนอขอ 10 มาตรการไปยังรัฐบาล เช่น การปรับความเข้มข้นของการตรวจฝุ่น PM2.5 ของรถควันดำ การขอให้กรุงเทพฯเป็นเขตควบคุมมลพิษ เป็นต้น ซึ่งเมื่อวานนี้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้อนุมัติแล้ว ประกาศให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษเป็นช่วงเวลา ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม ถือเป็นเรื่องที่ดี ทำให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจมากขึ้นในการกำหนดมาตรฐานที่มีความเข้มข้นมากกว่ามาตรฐานของประเทศ

ยกตัวอย่าง การวัดควันดำปกติวัดกันที่ความทึบแสงเกิน 30% ถ้าเกินถือว่าเป็นควันดำ มีความผิด แต่ถ้ามองว่ากรุงเทพมหานครต้องการความเข้มข้นมากกว่านี้ สามารถทำให้มาตรการเข้มข้นขึ้นจาก 30% เหลือ 20% หรือ 10% ก็ได้ จะทำให้กรุงเทพมหานครมีเครื่องมือในการลดฝุ่น PM2.5 ให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม สามารถมีแผนในการหาต้นตอฝุ่นและไปดำเนินการเพื่อลดฝุ่น PM2.5

“ถือเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ และไม่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา PM2.5 รวมถึงมีการศึกษาวิเคราะห์จากหน่วยงานทางวิชาการซึ่งมีการศึกษาที่ว่า การลดฝุ่น PM2.5 ได้ 1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นหลักหมื่นล้านบาท น่าจะเป็นผลดีและเป็นการสร้างความเชื่อมั่นด้วย”

 

เรื่องที่สอง ได้มีการหารือกับปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการติดตั้งระบบ CEMS (Continuous Emission Monitoring System) คือการวัดฝุ่นจากปล่องควันอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันในกรุงเทพมหานครมีอยู่ 7 - 8 โรงงาน ที่มีการติดตั้ง CEMS แต่พอมีการปรับมาตรฐานให้ละเอียดขึ้น หรือข้อกำหนดให้เข้มข้นขึ้นจะทำให้มีโรงงานที่ต้องติดตั้ง CEMS มากกว่า 200 โรงงาน ซึ่งจะทำให้สามารถติดตามการปล่อยควันได้อย่างละเอียด ตามจริง ทำให้สามารถควบคุมปัญหานี้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการดูเรื่องผลกระทบของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ รวมถึงมีการปรับมาตรฐานการปล่อยควันประเภทอื่นจากโรงงานด้วย

ส่วนในอนาคตจะเน้นเรื่องฝุ่นจากการเผาภายนอกมากขึ้น ตอนนี้มีพิกัดแล้วว่าจุดไหนที่อยู่ด้านนอกแล้วเป็นจุดเสี่ยงที่มีโอกาสเผาแล้วเข้ามาในกรุงเทพฯ มีการกำหนดพื้นที่เป้าหมายแล้ว และได้หารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้าหากมีความจำเป็นอาจมีการช่วยดับไฟ หรือคุยกับเกษตรกรให้ลดการเผา หรืออาจหาเรื่องอัดฟางให้ เพราะการเผาของเพื่อนบ้านมีผลกระทบอย่างรุนแรง ต้องรีบหารือความร่วมมือต่อไป

สำหรับมาตรการที่จะเข้มข้นขึ้น คือ Low Emission Zone (LEZ) ที่ผ่านมาวันที่ฝุ่น PM2.5 เยอะจะไม่ให้รถเข้ามาในวงแหวนชั้นในแต่ปีนี้จะขยายไปในพื้นที่กรุงเทพฯ 50 เขตเลย ทำให้ต้องนำรถไปปรับปรุงและลงทะเบียน Green List (บัญชีเขียว) เพื่อให้รถสามารถเข้ามาในพื้นที่ได้ในช่วงเวลาที่ฝุ่นเยอะ หากรถที่ไม่อยู่ใน Green List เข้าพื้นที่ก็จะถูกจับดำเนินคดี ซึ่งปีที่ผ่านมายื่นฟ้องศาลดำเนินคดีแล้วกว่า 400 คัน ทั้งนี้ จริงๆ แล้วไม่อยากจับรถ แต่อยากให้ปรับปรุงรถให้ปล่อยมลพิษน้อยลง

ด้านการป้องกันมีการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น สสส. ในการติดตั้งห้องเรียนปลอดฝุ่นในทุกโรงเรียน อีกทั้งกรุงเทพมหานครได้ปรับปรุงห้องเรียนปลอดฝุ่นในศูนย์เด็กเล็ก ทำให้มีความละเอียดครอบคลุมในการป้องกันเด็กมากขึ้น ระบบเตือนภัยเดิมมีการแจ้งล่วงหน้า 3 วัน ปัจจุบันมีการพัฒนาให้แจ้งล่วงหน้าได้ 7 วัน มีการนำเซนเซอร์ขนาดเล็กมาเพิ่มเติมอีก 800 กว่าเครื่อง ทำให้สามารถพยากรณ์ฝุ่นได้เข้มข้นมากขึ้น

นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยจากจีน โดยให้อุปกรณ์มาติดตั้งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำให้วิเคราะห์ฝุ่นได้อย่างละเอียดว่าต้นตอมาจากไหน ทำให้สามารถกำจัดหรือจำกัดการปล่อยจากต้นตอได้ดีขึ้น และด้วยความร่วมมือจากหลายๆ ภาคส่วนนี้ เชื่อว่าสถานการณ์ฝุ่นก็น่าจะดีขึ้นได้

สำหรบวันนี้ในที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับร่างแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2569 ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 - 2570 และระยะ 5 ปีต่อไป ซึ่งมีการดำเนินการในด้านต่างๆ ได้แก่

1. พยากรณ์ แจ้งเตือน ป้องกันฝุ่น
2. ขยายระบบการติดตามและแจ้งเตือนฝุ่นระดับแขวงให้ครบ 1,000 จุด (ปัจจุบัน 816 จุด)
3. จัดทีม “นักสืบฝุ่น” และศึกษาต้นตอฝุ่นละออง PM2.5
4. ตรวจจับควันดำจากต้นตอ
5. สนับสนุนให้เกิด ECOSYSTEM รถพลังงานไฟฟ้า
6. ตรวจสอบคุณภาพอากาศเชิงรุกในโรงงาน
7. ก่อสร้าง
8. ตรวจสอบสถานะรถตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป (Green List)
9. เผาในที่โล่ง
10. ป้องกัน และดูแลสุขภาพประชาชน
11. พัฒนาพื้นที่ปลอดฝุ่น (BKK Clean Air Area) ด้วยต้นไม้สำหรับพื้นที่เปิด ด้วยเครื่องฟอกอากาศสำหรับพื้นที่ปิด

ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างแผนดังกล่าว โดยให้มี Action Plan และตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อให้ประเมินความสำเร็จของการดำเนินการได้

ในการประชุมวันนี้มี นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานภายนอกสังกัดกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อาทิ กรมการขนส่งทางบก กรมควบคุมมลพิษ กรมควบคุมโรค กรมธุรกิจพลังงาน กรมประชาสัมพันธ์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมสรรพสามิต กรมอนามัย กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม