หลักนิติธรรม: เสาหลักความเป็นธรรมและความมั่นคงของสังคมไทย

หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) เป็นกรอบสำคัญของการบริหารรัฐและการอยู่ร่วมกันในสังคมสมัยใหม่ โดยหนึ่งในเสาหลักที่ถูกย้ำถึงเสมอคือ “หลักนิติธรรม” (Rule of Law)
หลักการนี้ไม่ใช่เพียงการที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่กฎหมายต้องมีความเป็นธรรม โปร่งใส และสามารถคาดการณ์ผลได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในโลกปัจจุบันทำให้หลักนิติธรรมถูกนำไปใช้และถูกท้าทายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย (compliance) การสร้างความคาดหมายได้ (predictability) ไปจนถึงการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปิดปาก (SLAPP) และการใช้กฎหมายเป็นอาวุธทางการเมืองที่เรียกว่า “นิติสงคราม”
๐ มิติของหลักนิติธรรม เกินกว่าคำว่า “ทำตามกฎหมาย”
หลักนิติธรรมมีความหมายที่กว้างไกลกว่าการ “มีตัวบทกฎหมาย” มิติสำคัญที่ควรทำความเข้าใจ ได้แก่
การปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance) สังคมที่มีหลักนิติธรรมจะต้องสามารถทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นประชาชน นักธุรกิจ หรือผู้มีอำนาจทางการเมือง หากทำผิดย่อมต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด การบังคับใช้ต้องไม่เลือกปฏิบัติ
ความคาดหมายได้ (Predictability) หลักนิติธรรมจะมีคุณค่า ก็ต่อเมื่อประชาชนและภาคธุรกิจสามารถคาดเดาผลของการกระทำได้อย่างชัดเจน เช่น หากทำสัญญาแล้วอีกฝ่ายผิดนัด ประชาชนควรมั่นใจได้ว่ากฎหมายจะบังคับใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิของตน ความคาดหมายได้จึงเป็นรากฐานของความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
การใช้กฎหมายอย่างสุจริต (Good Faith Use of Law) กฎหมายถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพ แต่หากกฎหมายถูกใช้เพื่อประโยชน์แคบๆ หรือเพื่อกำจัดคู่แข่ง ความศรัทธาต่อหลักนิติธรรมก็จะเสื่อมถอยลง
กฎหมายในมุมมืด: SLAPP และนิติสงคราม แม้กฎหมายจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อความเป็นธรรม แต่หลายครั้งกลับถูกนำมาใช้เป็น “อาวุธ”
การฟ้องร้องเชิงกลั่นแกล้ง หรือ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) การฟ้องร้องที่มีเป้าหมายเพื่อ “ปิดปาก” นักกิจกรรม นักข่าว หรือประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นสาธารณะ โดยมิได้หวังชนะคดี แต่หวังสร้างภาระค่าใช้จ่าย เวลา และความหวาดกลัวจนคู่กรณีหยุดวิพากษ์วิจารณ์
นิติสงคราม (Lawfare) หมายถึง การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการยื่นฟ้อง การตีความกฎหมาย หรือการออกกฎหมายใหม่ จุดมุ่งหมายไม่ใช่การปกป้องสิทธิหรือสร้างความยุติธรรม แต่เพื่อทำลายความชอบธรรมของคู่แข่งทางการเมือง
๐ ภาพสะท้อนจาก WJP
สถานะของประเทศไทย World Justice Project (WJP) จัดทำ Rule of Law Index เป็นประจำทุกปี ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการสะท้อนคุณภาพของหลักนิติธรรมในประเทศต่าง ๆ ผลการจัดอันดับปี 2567 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 78 จาก 142 ประเทศ ด้วยคะแนน 0.50 (เต็ม 1.00) แม้จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2566 ที่ได้อันดับ 82 จาก 142 ประเทศ และคะแนน 0.49
การถดถอยในระยะยาว: คะแนนของไทยยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งของภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะในด้าน Constraints on Government Powers, Fundamental Rights และ Regulatory Enforcement
สถานะที่เป็นอยู่และการถดถอยในระยะยาวเป็นสัญญาณที่น่ากังวล แม้คะแนนโดยรวมจะขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ความท้าทายของไทย คือ การสร้างความเชื่อมั่นว่า กฎหมายจะถูกใช้เพื่อความยุติธรรมจริงๆ ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ความหมายต่อสังคมไทย การจัดอันดับของ WJP ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในรายงานสากล แต่มีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของประชาชน นักลงทุน และประชาคมโลก หากกฎหมายไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้ว่า การทำถูกต้องจะได้รับการคุ้มครอง หรือการทำผิดจะถูกลงโทษอย่างเท่าเทียม ย่อมส่งผลโดยตรงต่อทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของสังคม
แนวทางเสริมสร้างหลักนิติธรรมให้กลับมามีความหมายที่แท้จริง จำเป็นต้องดำเนินการหลายด้าน ได้แก่
1.การปรับปรุงคุณภาพกฎหมาย กฎหมายต้องถูกเขียนขึ้นให้มีความชัดเจน โปร่งใส และไม่เปิดช่องตีความที่จะนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ
2.การสร้างความเป็นอิสระขององค์กรยุติธรรม องค์ประกอบของกระบวนการยุติธรรมทั้ง ศาล อัยการ และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นกลางและปราศจากอิทธิพลการเมือง
3.กระบวนการป้องกันการฟ้องร้องเชิงกลั่นแกล้ง (Anti-SLAPP Law) จัดทำกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่แสดงออกอย่างสุจริต
4.การส่งเสริมวัฒนธรรมการเคารพกฎหมาย ประชาชนจะเคารพกฎหมายได้ ก็ต่อเมื่อกฎหมายเป็นธรรมและบังคับใช้อย่างเสมอภาค
หลักนิติธรรมไม่ใช่เพียงแนวคิดในตำรา แต่คือ เสาหลักที่ทำให้สังคมเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน การที่ประเทศไทยยังอยู่ในอันดับกลางค่อนไปทางต่ำใน Rule of Law Index ของ WJP สะท้อนความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข
หากเรายอมให้กฎหมายกลายเป็น “อาวุธ” ไม่ว่าจะในรูปแบบ SLAPP หรือ นิติสงคราม ความศรัทธาต่อหลักนิติธรรมก็จะสลายไป และสิ่งที่ตามมา คือ ความไม่มั่นคงของสังคมโดยรวม
ดังนั้น การรักษาหลักนิติธรรมไม่ใช่เพียงหน้าที่ของนักกฎหมายหรือผู้มีอำนาจ แต่เป็นภารกิจร่วมกันของทั้งสังคม ที่ทุกคนควรตระหนักและร่วมมือกันอย่างจริงจัง







