สทนช. สั่งเพิ่มระบายน้ำ 'เขื่อนเจ้าพระยา' เช็กพื้นที่เฝ้าระวัง

สทนช. ประกาศเร่งระบายน้ำ "เขื่อนเจ้าพระยา" รับมือน้ำเหนือ จาก "พายุหนองฟ้า" ที่กำลังเคลื่อนตัวลงมา เตือนประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายน้ำเตรียมพร้อมรับมือ
วันนี้ (4 ก.ย. 68) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อหารือมาตรการเร่งด่วนในการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา โดยเฉพาะการรองรับมวลน้ำจากอิทธิพลของ "พายุหนองฟ้า" และร่องมรสุม ซึ่งทำให้มีฝนตกหนักและน้ำเหนือไหลหลากลงมาอย่างต่อเนื่อง
หลังการประชุม ดร.สุรสีห์ เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ ปริมาณน้ำเหนือที่ไหลผ่านสถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จะอยู่ที่ 1,900-2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) และเมื่อรวมกับน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังและลำน้ำสาขาอีกประมาณ 100 ลบ.ม./วินาที จะทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าสู่เหนือเขื่อนเจ้าพระยาสูงถึง 2,000-2,300 ลบ.ม./วินาที ซึ่งหากไม่เพิ่มการระบายน้ำ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของตัวเขื่อนได้
เพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันได เริ่ม 6 ก.ย.นี้
ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอจากกรมชลประทานอย่างรอบด้าน และมีมติเห็นชอบให้เพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาแบบขั้นบันได จากเดิมที่ระบายอยู่ที่ 1,500 ลบ.ม./วินาที ให้เพิ่มขึ้นแต่ไม่เกิน 2,000 ลบ.ม./วินาที โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 6 กันยายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นที่ประมาณ 1,600 ลบ.ม./วินาที
ทั้งนี้ การเพิ่มการระบายน้ำจะส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.3-1.1 เมตร ในพื้นที่ต่อไปนี้
- คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง
- คลองบางบาล ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา และตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- แม่น้ำน้อย
- พื้นที่ลุ่มต่ำบางส่วนของอำเภอเมืองปทุมธานี อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี และอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
เตรียมพร้อมรับมือและแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า
ดร.สุรสีห์ กล่าวว่า แม้จะมีการเพิ่มการระบายน้ำสูงสุดไม่เกิน 2,000 ลบ.ม./วินาที แต่จะมีการประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมปริมาณน้ำที่ระบายให้กระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด พร้อมเน้นย้ำให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประสานงานเพื่อซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงล่วงหน้าโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้มีการใช้กลไกของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง เพื่อบริหารจัดการลุ่มน้ำเจ้าพระยา ท่าจีน บางปะกง และป่าสัก อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเดือนกันยายน ที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักในพื้นที่ภาคกลางและเป็นช่วงที่น้ำทะเลจะหนุนสูง เพื่อดำเนินการเชิงป้องกันอย่างเต็มที่ และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน







