'เขื่อนสิริกิติ์' ปรับแผนระบายน้ำ จับตาผลกระทบ 3 จังหวัดท้ายน้ำ

กรมชลประทานและ กฟผ. ปรับแผนระบายน้ำ "เขื่อนสิริกิติ์" หลัง "พายุหนองฟ้า" ส่งผลให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น โดยแผนใหม่นี้จะช่วยลดผลกระทบ พื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร
วันนี้ (3 ก.ย. 68) กรมชลประทานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ปรับแผนการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชัน “หนองฟ้า” ซึ่งส่งผลให้มีฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน
นายชวลิต สุราราช ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา สำนักงานชลประทานที่ 3 เปิดเผยเมื่อบ่ายวันนี้ (3 กันยายน 2568) ว่า ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งจากน้ำฝนโดยตรง น้ำจากลำห้วยสายรองอย่างคลองตรอน และน้ำที่ผันเข้ามาเสริมจากระบบผันน้ำยม-น่าน ทำให้มีแนวโน้มที่พื้นที่ท้ายน้ำจะได้รับผลกระทบ
เพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสมและลดผลกระทบต่อประชาชน จึงได้มีการปรับแผนการระบายน้ำระหว่างวันที่ 1–8 กันยายน 2568 ดังนี้
- วันที่ 1–3 กันยายน : ระบายน้ำวันละ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร
- วันที่ 4 กันยายน : ระบายน้ำวันละ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร
- วันที่ 5 กันยายน : ระบายน้ำวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร
- วันที่ 6 กันยายน : ระบายน้ำวันละ 35 ล้านลูกบาศก์เมตร
- วันที่ 7–8 กันยายน : ระบายน้ำวันละ 40 ล้านลูกบาศก์เมตร
ปริมาณการระบายน้ำนี้จะมีการติดตามและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ โดยคำนึงถึงระดับน้ำในเขื่อน ปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำท้ายน้ำเป็นหลัก เพื่อควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก และพิจิตร
สถานการณ์น้ำในพื้นที่และมาตรการเตรียมรับมือ
นายชวลิต กล่าวเสริมว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ สถานการณ์น้ำล่าสุดในพื้นที่สำคัญเป็นไปตามการคาดการณ์และมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
- คลองตรอน : ปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- แม่น้ำน่าน (อุตรดิตถ์-พิษณุโลก) : ระดับน้ำมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- คลองผันน้ำยม-น่าน : มีการปรับลดปริมาณการผันน้ำ เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมพื้นที่ท้ายน้ำ
- แม่น้ำน่าน (พิจิตร) : คาดว่าระดับน้ำจะทรงตัวสูงสุดในวันที่ 4 กันยายน ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับลงในลำดับถัดไป
สำนักงานชลประทานที่ 3 ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งประสานงานกับผู้นำชุมชนในพื้นที่เพื่อเตรียมการรับมืออย่างเหมาะสม เพื่อให้ผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด
ประชาชนที่ต้องการสอบถามข้อมูลหรือขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมชลประทาน โทร. 1460 ตลอด 24 ชั่วโมง







