ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ | อาหารสมอง

มนุษย์มีพลังซ่อนเร้นอยู่มากในตัว แต่ก็ไม่รู้ชัดว่าจะเอาออกมาใช้ได้อย่างไร เมื่อมีนักวิชาการศึกษาวิจัยจนได้ข้อแนะนำจึงน่าตื่นเต้นเพราะจักได้เอาไปใช้กับเด็กๆ และเยาวชน
ผมได้อ่านหนังสือ “ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์” ของศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช และชอบมาก เพราะอาจเป็นหนังสือที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตของเด็กๆ และเยาวชนของเรา
ท่านได้ตีความหนังสือฝรั่งที่ดังมากเล่มหนึ่งของ Adam Grant เรื่อง “Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023) และเพิ่มเติมวิธีปฏิบัติตามที่ท่านได้ค้นคว้า นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเลี้ยงดูลูกหลาน และพัฒนาลูกศิษย์ทั้งในและนอกโรงเรียน
ผมเชื่อมาตลอดชีวิตว่ามนุษย์ทุกคนพัฒนาได้ และมีพลังแห่งความสำเร็จซ่อนเร้นอยู่ในตัวแต่หายไปเพราะไม่ถูกบ่มเพาะอย่างถูกวิธี หนังสือของ Adam Grant นักจิตวิทยาสมัยใหม่ได้นำหลักฐานจากงานศึกษาวิจัยมาสนับสนุนและเสนอความคิดในการปลุกพลังซ่อนเร้นเหล่านี้
และเมื่อมีการนำมาเล่าพร้อมกับการตีความและเสริมเพิ่มเติมในบริบทของสังคมไทยด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้นจนเรียกได้ว่าเป็น “พลังสองประสาน” จากความรู้ของหนุ่มวัย 43 ปี และจากประสบการณ์และปัญญาของปรมาจารย์ด้านการศึกษาอันเป็นที่เคารพนับถือของสังคมไทยวัย 82 ปี
Adam Grant ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา สอนอยู่ที่ Wharton School of the University of Pennsylvania เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการจัดการโดยเน้นเรื่องแรงจูงใจและความสำเร็จ เริ่มสอนหนังสือตั้งแต่อายุ 26 ปี เป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงมากได้เขียนหนังสือดังหลายเล่ม
เช่น Give and Take (2013), Originals (2016), Think Again (2021) ซึ่งมีแปลเป็นภาษาไทย, Hidden Potential (2023) ฯลฯ หนังสือรวมขายได้เป็นล้านๆ เล่ม มีการแปลเป็น 45 ภาษา ในรายการ TED Talks เรื่อง “Surprising Habits of Original Thinkers” ที่เขาพูดมีการเข้าชมถึง 35 ล้านวิว
Adam Grant ระบุว่ามีหลายพลังซ่อนเร้นอยู่ในตัวมนุษย์ พลังสำคัญยิ่งอันหนึ่งที่นำสู่ความสำเร็จในชีวิตคือ ทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills) กล่าวคือ เป็นทักษะในการแสดงออกทางพฤติกรรมที่ปรากฏออกมาในยามยากลำบาก หรือมีความท้าทาย
โดยมีองค์ประกอบย่อย 4 ประการคือ (1) พฤติกรรมเชิงรุก (Proactive) (2) เห็นแก่ส่วนรวม (Prosocial) (3) มีวินัย (Disciplined) (4) ตั้งจิตมั่น (Determined)
หากระบบการเลี้ยงดูในครอบครัว และ ระบบการหล่อหลอมในสังคมหนุนให้เด็กและเยาวชนสร้างสิ่งเหล่านี้ใส่ตัวผ่านการฝึกปฏิบัติก็จะช่วยปลดปล่อย และเพิ่มพูนพลังซ่อนเร้นในตัวเด็กอย่างอัตโนมัติ โดยครูและพ่อแม่ผู้ปกครองทำหน้าที่ประคับประคองให้
ในหนังสือเล่มนี้ คุณหมอได้ระบุอย่างชัดเจนถึงวิธีควรปฏิบัติของครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อให้มีการสร้างทักษะเชิงลักษณะนิสัยในแต่ละด้านอย่างละเอียด เช่นเดียวกับการปลุกพลังซ่อนเร้นในด้านอื่นๆ เช่น พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ พลังของการซึมซับและปรับตัว พลังของคุณค่าของความไม่สบายใจ พลังของการฝึกอย่างสนุก ฯลฯ
หนังสือของคุณหมอเล่มนี้จะมีประโยชน์ยิ่งขึ้นหากมีการฝึกฝนแบบปฏิบัติการ (Workshop) โดยกลุ่มครูและพ่อแม่นำเอาข้อแนะนำเชิงปฏิบัติเหล่านี้มาหารือและสรุปเป็นแนวปฏิบัติร่วมกัน จากนั้นนำมาระดมสมองกันว่ากลุ่มจะเอาไปสอนลูกหลานและลูกศิษย์กันต่อไปอย่างไรให้ได้ผล
อีกวิธีหนึ่งของการสร้างประโยชน์ยิ่งขึ้นของหนังสือเล่มนี้ก็คือ การแตกออกเป็นหนังสืออีกหลายรูปแบบ เช่น แบบอ่านง่าย หรือแบบระบุเฉพาะแนวการปฏิบัติในการปลุกพลังลูกหลานและลูกศิษย์
ในลักษณะเดียวกับที่หนังสือ Sapiens ของ Yuval Noah Harari ทำ กล่าวคือแตกออกเป็นเล่มย่อยๆ อีกหลายเวอร์ชัน เช่น ย่อให้สั้นลง เป็นการ์ตูนอ่านง่าย ฯลฯ เพื่อสนองตอบความต้องการจากผู้คนหลากหลายกลุ่ม
คุณหมอได้ทิ้งแนวคิดในการปรับระบบการศึกษาของไทย ให้สอดคล้องกับหลักฐานทางจิตวิทยาของการเรียนรู้ที่พบใหม่หลายประการ เช่น การปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์นั้นไม่สามารถทำได้โดยการศึกษาที่เน้นการบอกสอน หรือการเรียนรู้เชิงรับ (Passive Learning) ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนเชื่อตามที่ครูบอก และจดจำไว้ตอบข้อสอบดังที่กระทำอยู่ในระบบการศึกษาไทยมาเนิ่นนาน
ประเด็นสำคัญพึงพิจารณาสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองไทยในปัจจุบันก็คือ การพยายามเลี้ยงดูเด็กไม่ให้ต้องเผชิญกับความยากลำบากหรือปัญหาใดๆ เลยนั้นเป็นสิ่งที่ผิดฉกรรจ์
Adam Grant ระบุว่า เหตุการณ์ที่ยากลำบากสร้างความไม่สบายใจ อึดอัดขัดข้องจะช่วยให้เด็กมีประสบการณ์ฟันฝ่าอันช่วยปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนเร้นของเขาออกมา สิ่งสำคัญก็คือต้องช่วยให้เขาค้นพบพลังซ่อนเร้นที่อยู่ภายในตน
การค้นพบนี้จะต้องผ่านการพัฒนาตนเองให้เป็นมนุษย์ที่ “สบายใจที่จะอยู่กับความไม่สบายใจ” (Comfortable to be Uncomfortable) หรือเป็น “มนุษย์แห่งความอึดอัดขัดข้อง” (Creature of Discomfort) กล่าวคือ เป็นคนที่ไม่กลัว และไม่หลบหลีกความยากลำบากนั่นเอง
ฉบับแปลของหนังสือ Hidden Potential เป็นภาษาไทยมีแล้วโดยผู้แปลคือ คุณนิติ ชนภัณฑารักษ์ (สำนักพิมพ์วีเลิร์น) และฉบับของคุณหมอวิจารณ์ดังกล่าวที่เป็นเล่ม ติดต่อที่ “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” (www.eef.or.th) และในรูปที่เป็นดิจิทัลนั้นดาวน์โหลดได้ฟรีจากมูลนิธิสยาม กัมมาจล (www.scbfoundation.com)







