“วันที่ฟ้าเปิด”

“วันที่ฟ้าเปิด”

ไปซะไกล แค่ดูภูเขาลูกเดียว!

ผู้คนจากหลายมุมโลก ใช้เวลานับสิบชั่วโมง เดินทางไปยังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อไปดูภูเขาลูกนี้ครับ

ผมก็เพิ่งไป และเมื่อไปถึงแล้วยังต้องเสียสตางค์ซื้อตั๋วรถไฟ เพื่อไต่เทือกเขาข้างๆ ขึ้นไปยังสถานีสูงสุด จะได้ยืนชมวิว ดูภูเขาลูกนี้ให้เห็นเต็มตา

แต่วันนั้นโชคไม่ดี ฟ้าปิดครับ ได้เห็นแค่ครึ่งล่างของภูเขาเท่านั้น ยอดเขาถูกหมู่เมฆปิดบังจนมิด อดคิดไม่ได้ว่าอุตส่าห์มาจากเมืองไทย มาตั้งไกล แต่ฟ้าไม่เป็นใจ ให้เราเห็นเท่านี้เอง

ภูเขาเบื้องหน้ามีชื่อว่า“แมตเตอร์ฮอร์น” สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับชื่อนี้ ถ้าบอกว่านี่คือภูเขา ที่ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์บนกล่องช็อกโกแลตToblerone  หลายคนคงร้อง “อ๋อ!”

ทือกเขาแอลป์ของยุโรป มียอดเขาที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น มองต์บลังก์ที่ฝรั่งเศส และจุงเฟรา ที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ถึงแม้มองต์บลังก์จะสูงที่สุด และจุงเฟราจะเป็นที่รู้จักกันมาก

“แมตเตอร์ฮอร์น” นี่แหละครับ ความสูงเป็นรองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลายแหล่งข้อมูลบอกตรงกันว่า…งดงามที่สุด

เพราะมันเป็นภูเขาที่พุ่งตรงจากพื้นโลก สูงขึ้นไปเป็นยอดแหลมเสียดฟ้า เป็นรูปทรง“ปิรามิด” ซึ่งยอดเขาอื่นๆที่สูงกว่า ไม่มีรูปทรงทางกายภาพที่เด่นชัดแบบนี้แถมแมตเตอร์ฮอร์น ยังมีเรื่องราว “ดราม่า” ที่ทำให้น่าติดตามอีกด้วย

กล่าวคือ เมื่อ 160 ปีที่แล้วนักปีนเขาชาวอังกฤษชื่อ “เอ็ดเวิร์ด วิมเปอร์” ได้รวมทีมนักปีนเขาได้ 7 คน เพื่อจะพิชิตยอดเขาแห่งนี้ ซึ่งในยุคนั้นไม่มีอุปกรณ์ทันสมัย ไม่มีรองเท้าปีนเขา ไม่มีเชือกนิรภัย

พวกเขาใช้เพียงรองเท้าธรรมดา ขวานธรรมดา เชือกธรรมดา และความกล้าที่ไม่ธรรมดา

ทีมของวิมเปอร์ ปีนขึ้นไปทางแนวสันเขาชื่อHornli Ridge ซึ่งถ้าคุณเปิดภาพของแมตเตอร์ฮอร์น ก็จะเห็นว่าสันเขานี้แคบมากมีความกว้างเพียง 1-2 เมตรในช่วงแรก แต่ยิ่งปีนสูงขึ้นไป สันเขาก็ยิ่งแคบลง จนบางช่วงเหลือที่ยืนเพียง 50 เซนติเมตร เท่านั้นเอง

แต่พวกเขาก็ฝ่าฟันความยากลำบาก ความหนาว และอันตรายต่างๆ จนปีนขึ้นไปถึงยอดเขาได้สำเร็จ และได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า เป็นผู้พิชิตยอดเขาแมตเตอร์ฮอร์นเป็นกลุ่มแรก

หตุการณ์ดราม่าเกิดขึ้นระหว่างทางลง เมื่อสมาชิกคนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์น้อย เกิดพลาดจนร่วงลงมา เชือกที่ผูกตัวกันไว้ ทำให้เขาฉุดอีกสามคนร่วงลงไปด้วย เสียชีวิตรวม 4 คน

เหลือรอดเพียง 3 คน ได้แก่ วิมเปอร์ และไกด์ชาวท้องถิ่นอีกสองคน ซึ่งชาวบ้านที่ไปค้นหาศพ ได้พบเชือกที่ขาด แล้วนำกลับมาเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ ผมได้เห็นเชือกเส้นนั้นกับตาตัวเองที่พิพิธภัณฑ์ในเมือง เป็นเชือกเส้นเล็กมากจนน่าตกใจ

ที่เป็นดราม่าก็เพราะมีคำถามตามมาว่า เชือกขาดเพราะอุบัติเหตุจริงหรือไม่? หรือมีใครตัดเชือกเพื่อเอาชีวิตรอด? แล้วทำไมจึงใช้เชือกเส้นเล็กขนาดนั้น? ฯลฯเรื่องราวเหล่านี้ยังคงถกเถียง และเล่าขานกันมาจนทุกวันนี้

วันรุ่งขึ้น ผมจะต้องเดินทางไปซูริคตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมตัวกลับเมืองไทยแต่พอตื่นขึ้นมา ว้าว! ท้องฟ้าเป็นใจ แมตเตอร์ฮอร์น ปรากฏยอดสดใส มองเห็นได้จากหน้าต่างโรงแรม!

โชคดีแบบนี้ ยังไงก็ต้องขอเลื่อนเวลาไปซูริคสิครับ รีบเดินไปยังจุดชมวิวในเมือง เพื่อจะได้เห็นภูเขาเต็มๆทั้งลูก ปรากฏว่ามีผู้คนมากมายจากทั่วโลก เดินไปชื่นชมและถ่ายรูปกับภูเขาลูกนี้ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“แมตเตอร์ฮอร์น” วันนั้น ชูยอดแหลมเสียดฟ้า โดดเด่นตระหง่านตัดกับท้องฟ้าสีคราม และไม่มีหมู่เมฆให้เห็นเลยสักนิด งดงามเพียงใดก็ลองดูรูปได้ครับ

ย้อนหลังไปเมื่อวันแรกที่ผมไปถึง วันที่แมตเตอร์ฮอร์นถูกเมฆหนาเบียดบัง จนทำให้ภูเขาดูหม่นหมอง วันนั้นผมอดคิดไม่ได้ว่า ภูเขานี้มันอึมครึม บรรยากาศละม้ายคล้ายคลึงกับประเทศไทย ในเวลานี้เลยนะ

ประชาชนไม่มีความสุข เพราะถูกหมู่เมฆการเมืองบดบังมานานหลายปี เต็มไปด้วยเกมช่วงชิงอำนาจ กติกาสังคมถูกบิดเบือน นำไปสู่ความร้าวฉาน และคดีต่างๆเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดพัฒนาประเทศกัน

สถานการณ์อย่างนี้ มันเป็นมานานเกินไปแล้วครับ จนความน่าเชื่อถือของประเทศเหือดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ ประชาชนสะท้อนความรู้สึกออกมาให้เห็นแทบทุกสื่อ ใครๆก็มีคำถามเหมือนกันว่า เรามาถึงวันนี้ได้อย่างไร? แต่เราก็ยังหาคำตอบและทางออกไม่ได้

ประชาชนทำได้แค่บอกอาการและความรู้สึก แต่สถานการณ์อย่างนี้ ทางออกตามกติกาคงต้องมาจากใครที่มีอำนาจและมีบทบาทเกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องแสดงบทบาทนั้นอย่างถูกต้องชอบธรรม เพื่อขจัดหมู่เมฆนี้ออกไปเสียที

ผมยังเชื่อว่า ถึงอย่างไรประเทศไทยก็คือ “ขุนเขา” ที่ยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง และหนักแน่น ถึงแม้ในบางเวลา หมู่เมฆจะลอยมาปกคลุมมากสักเพียงใด ก็ไม่อาจท้าทายขุนเขานี้ได้นาน

ในที่สุดก็จะต้องพ่ายแพ้ไป เหมือนหมู่เมฆที่หายไปจากแมตเตอร์ฮอร์น ในเช้าวันนั้นนั่นแหละ ผมเชื่อว่าประเทศไทย จะกลับมาเป็นขุนเขาที่สง่างามอีกครั้งหนึ่ง ในเร็ววันนี้ปัญหาใดๆที่ทำให้คนไทยท้อแท้ คงใกล้จะหมดไป

นั่นเป็นความเชื่อและความหวังของผม

เช้าวันนั้น ท้องฟ้าคงได้ยินเสียงแห่งความหวังของผม จึงสนองตอบด้วยการเปิดฟ้า ให้เห็นความสง่างามของแมตเตอร์ฮอร์น แบบสดใสเต็มตา ก่อนที่ผมจะบินกลับประเทศไทย 

เหมือนกับจะบอกว่า…ความเชื่อและความหวังของผมนั้น น่าจะเกิดขึ้นจริงในเร็วๆนี้