เงินวัด ไม่ใช่เงินพระ | Now and Beyond

“ล้างวัดให้สะอาดด้วยหลักความโปร่งใสของรายงานทางการเงิน” ประชาชนชาวไทยจำนวนมากรู้สึกหมดศรัทธาต่อวัดและพระจากข่าวฉาวเรื่องเงินๆ ทองๆ เกี่ยวกับวัดและพระที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

ข่าวทำนองนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนประชาชนเบื่อระอา และเหมือนว่าหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลความเรียบร้อยของวัดก็นิ่งเฉยจนประชาชนอึดอัดใจเป็นอย่างมาก

เร็วๆ นี้ มีการเคลื่อนไหวของมหาเถรสมาคม โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 มหาเถรสมาคมมีมติมอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอหลักการทั่วไปสำหรับการจัดการศาสนสมบัติวัด และดำเนินการกำหนดกฎเกณฑ์และกระบวนการบริหารจัดการศาสนสมบัติวัด เพื่อเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณากำหนดเป็นกฎเกณฑ์สำหรับบังคับใช้แก่คณะสงฆ์ และเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 มหาเถรสมาคมมีมติเห็นชอบกฎเกณฑ์ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ

สาระสำคัญของกฎเกณฑ์มี 2 ประเด็น ได้แก่ (1) ให้วัดเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารในนามของวัดเท่านั้นและผู้มีอำนาจลงนามถอนเงินหรือสั่งจ่ายเช็คต้องมีอย่างน้อย 3 คน ประกอบด้วยเจ้าอาวาส ไวยาวัจกร และบุคคลที่เจ้าอาวาสเห็นสมควร และเจ้าอาวาสต้องลงนามถอนเงินหรือสั่งจ่ายเช็คทุกครั้งร่วมกับอีกหนึ่งคน และ (2) ให้วัดจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของวัด และรายงานเงินคงเหลือของวัดเป็นประจำทุกเดือน และให้รวบรวมนำส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นประจำทุกปี

รู้สึกประหลาดใจอย่างมากว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีกฎเกณฑ์แบบนี้ มันเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ ในการกำกับดูแลเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ทุกวัดควรต้องปฏิบัติมานานแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมวัดถึงมีเรื่องฉาวเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ บ่อยครั้ง เพราะเราปล่อยให้วัด หรือในที่นี้คือ พระ จัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ของวัด โดยอิสระ ไร้การกำกับดูแล ไร้แนวปฏิบัติที่ดี

กฎเกณฑ์ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอและมหาเถรสมาคมเห็นชอบ เป็นแนวปฏิบัติขั้นต่ำที่ทุกวัดพึงปฏิบัติ กฎเกณฑ์ดังกล่าวอาจจะเพียงพอสำหรับวัดเล็กๆ ที่มีเงินทองไม่มากมาย แต่สำหรับวัดขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีเงินทองหลักล้านหรือหลักร้อยล้าน ที่มักจะมีข่าวฉาวเรื่องเงินๆ ทองๆ กฎเกณฑ์ดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะพลิกฟื้นศรัทธาของประชาชนต่อวัดได้ จำเป็นต้องนำหลักความโปร่งใสของรายงานทางการเงินที่ถือปฏิบัติกับบริษัทมาปรับใช้กับวัดเหล่านี้

การพลิกฟื้นศรัทธาของประชาชนต่อวัดด้วยหลักความโปร่งใสของรายงานทางการเงิน ควรต้องมีอย่างน้อย 4 เรื่องนี้

เรื่องแรก วัดต้องจัดทำงบการเงินเป็นประจำทุกปี ไม่ใช่แค่บัญชีรายรับ-รายจ่าย และรายงานเงินคงเหลือเท่านั้น งบการเงินที่วัดควรต้องจัดทำได้แก่ (1) งบฐานะการเงิน ซึ่งจะรายงานสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของทุน ณ วันสิ้นปี และ (2) งบรายได้และค่าใช้จ่าย (ภาคธุรกิจเรียกว่างบกำไรขาดทุน) ซึ่งจะรายงานรายได้และค่าใช้จ่ายที่รับรู้สำหรับปี และจำนวนเงินของรายได้ที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายสำหรับปี (ภาคธุรกิจเรียกว่ากำไรประจำปี)

เรื่องที่สอง งบการเงินของวัดต้องมีการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่างบการเงินของวัดจัดทำขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม หลายคนอาจคิดว่าเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของวัดเพราะวัดต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้สอบบัญชีในการทำหน้าที่ตรวจสอบงบการเงิน สำหรับวัดที่มีเงินหลักล้านหรือหลักร้อยล้าน คงไม่มีประเด็น การจัดทำงบการเงิน แต่ไม่มีการตรวจสอบ จะไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ และจะไม่สนับสนุนหลักความโปร่งใสของรายงานทางการเงิน

เรื่องที่สาม งบการเงินของวัดที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต้องนำส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโดยไม่ชักช้าและต้องเผยแพร่ต่อสาธารณชน หากเป็นบริษัทจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ต้องนำส่งงบการเงินภายใน 2 เดือนนับจากวันสิ้นปี หากเป็นบริษัททั่วไปต้องนำส่งงบการเงินภายใน 5 เดือนนับจากวันสิ้นปี 

กรณีของวัดอาจกำหนดให้เหมือนกับบริษัททั่วไปก็คงได้ นอกเหนือจากการนำส่งงบการเงินต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแล้ว ตามหลักความโปร่งใสของรายงานทางการเงิน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติควรต้องเผยแพร่งบการเงินของวัดต่างๆ ต่อสาธารณชนด้วย

เรื่องสุดท้าย วัดต้องจัดให้มีระบบการควบคุมภายในอย่างเพียงพอ เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้จ่ายต่างๆ ของวัดเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานของวัด และทรัพย์สินต่างๆ ของวัดมีการดูแลรักษาอย่างดีพอ ค่านิยมที่ต้องสร้างคือ “เงินของวัด ไม่ใช่เงินของพระ” เงินของวัด ไม่ใช่เงินของเจ้าอาวาส วัดไม่ใช่กิจการเจ้าของคนเดียวแบบร้านตัดผมหรือร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย 

เจ้าอาวาสไม่ใช่เจ้าของวัด เจ้าอาวาสไม่สามารถเข้าถึงเงินของวัดเหมือนเป็นเงินของตัวเอง เงินของวัดต้องใช้เพื่อกิจกรรมของวัดเท่านั้น ตัวอย่างของระบบการควบคุมภายในที่ดี ได้แก่ ต้องมีการกำหนดผู้มีอำนาจในการอนุมัติการใช้จ่ายเงินของวัดอย่างเหมาะสม ต้องมีหลักเกณฑ์ในการจัดซื้อจัดจ้างที่รัดกุม ไม่ใช่จะซื้อจากใคร จะจ้างใคร ในราคาใดก็ได้ 

การรับเงินบริจาคหรือรายรับใดๆ ต้องมีการออกใบเสร็จของวัดเสมอ การจ่ายเงินใดๆ ต้องมีเอกสารประกอบการเบิกจ่ายที่ถูกต้องเหมาะสม เป็นต้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องกำหนดแนวปฏิบัติต่างๆ ตามหลักการควบคุมภายในที่ดีเพื่อให้วัดถือปฏิบัติ

หลักความโปร่งใสของรายงานทางการเงินทั้ง 4 เรื่องข้างต้นจะเสริมสร้างค่านิยมของการพร้อมรับการตรวจสอบ จะทำให้ผู้คนทำหน้าที่ต่างๆ ด้วยความระมัดระวังรอบคอบ และยับยั้งชั่งใจมากขึ้นในเรื่องเงินๆ ทองๆ เมื่อวัดดำเนินการตามหลักความโปร่งใสของรายงานทางการเงิน ผู้ที่จะทำกิจกรรมใดๆ กับวัดก็จะทำเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลได้ยากขึ้น จึงเป็นการบีบบังคับให้ธุรกรรมที่ทำกับวัดต้องโปร่งใสตรวจสอบได้เช่นกัน