สปสช. ทุ่มงบ 73 ล้าน แก้ปัญหาสุขภาพจิต ขยายบริการบัตรทอง 30 บาท

สปสช. ทุ่มงบ 73 ล้าน แก้ปัญหาสุขภาพจิต ขยายบริการบัตรทอง 30 บาท

สปสช. อนุมัติงบ 73 ล้านบาท ขยายบริการสุขภาพจิต ครอบคลุมผู้ป่วยทั่วประเทศ เปิดทางองค์กรเอกชนเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการ สร้างโอกาสให้ประชาชนกว่า 10 ล้านคนเข้าถึงการรักษา

วันนี้ (18 ส.ค. 68) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบ "ข้อเสนอบริการสุขภาพจิตครบวงจร" ภายใต้แนวคิด "อุปสงค์และอุปทาน" (Demand & Supply) เพื่อยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพจิตแก่ประชาชนภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) พร้อมอนุมัติงบประมาณจำนวน 73.34 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งและดำเนินงาน “ศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต” ทั้งในและนอกระบบในปีงบประมาณ 2568 นี้

เปิดทางให้เอกชนร่วมดูแลผู้ป่วยจิตเวช

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า บอร์ด สปสช. มีความห่วงใยต่อปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับการรักษาในระบบกว่า 2.7 ล้านคน และคาดว่ายังมีประชาชนอีกกว่า 10 ล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ เนื่องจากระบบบริการและบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว บอร์ด สปสช. จึงได้มีมติเห็นชอบให้ "องค์กรหรือหน่วยงานภาคเอกชน" ที่ดูแลผู้ป่วยจิตเวชสามารถขึ้นทะเบียนเป็น "หน่วยบริการรับส่งต่อเฉพาะด้านขององค์กรภาคประชาชน" ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อขยายการให้บริการให้ครอบคลุมและเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนมากขึ้น โดยจะเน้นการเพิ่มบทบาทของ "ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน" ให้เป็นช่องทางสำคัญในการให้คำปรึกษาเบื้องต้นและช่วยคัดกรองผู้มีความเสี่ยง

เป้าหมายและรูปแบบการให้บริการ

นายสมศักดิ์ ย้ำว่า บริการสุขภาพจิตครบวงจรนี้มีเป้าหมายหลักในการช่วยเหลือคนไทยกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีความเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า ให้สามารถเข้าถึงการเยียวยาจิตใจในเบื้องต้นได้ง่ายขึ้น โดยตั้งเป้าหมายการให้บริการไว้ที่ ประมาณ 4.7 แสนครั้ง ในปี 2568 นี้ โดยจะให้บริการผ่านศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต และการติดตามผลไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
 

สำหรับค่าบริการจะกำหนดให้มีการเบิกจ่ายชดเชยที่อัตรา 153 บาทต่อครั้ง หรืออาจมีการจ่ายในรูปแบบอื่น ๆ เช่น จ่ายตามโครงการสำหรับหน่วยบริการมาตรา 3 หรือจ่ายตามผลลัพธ์การบริการ (Value Base Payment) ซึ่งจะมีการออกประกาศหลักเกณฑ์รองรับในภายหลัง

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า หลังจากนี้ สปสช. จะเร่งดำเนินการประสานงานกับกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนบริการนี้ รวมถึงสนับสนุนและอบรมองค์กรภาคประชาชนให้มีความพร้อมในการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการ

คุณสมบัติของหน่วยบริการภาคเอกชน

นพ.จเด็จ กล่าวเพิ่มเติมว่า องค์กรภาคประชาชนหรือภาคเอกชนที่ต้องการเข้าร่วมต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้:

  • ต้องให้บริการด้านการดูแลผู้พิการ ผู้ป่วยจิตเวช หรือผู้มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี
  • ต้องผ่านการประเมินรับรองจากหน่วยงานที่ สปสช. กำหนด
  • ต้องไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541

จากนี้ สปสช. จะพิจารณาและคัดเลือกองค์กรที่มีคุณสมบัติเพื่อเข้าร่วมให้บริการต่อไป