ทางออกการระดมทุนทำบุญ กรณีตัวอย่าง หมอบีกับวัดพระบาทน้ำพุ

เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2568 มีข่าวที่เป็นที่สนใจของพุทธศาสนิกชนไทยกันโดยทั่ว คือเรื่องของหมอบีกับหลวงพ่อวัดพระบาทน้ำพุ ข่าวบอกว่าหมอบีได้ตกลงกับหลวงพ่อในการที่จะใช้ความสามารถส่วนตัวช่วยระดมทุนให้วัด
เพื่อวัดนำไปใช้จ่ายในการดูแลกิจการของวัดและคนป่วย ข่าวบอกด้วยว่า"หมอบี" หักเปอร์เซ็นต์ของยอดบริจาค มาเป็นค่าใช้จ่ายของการทำงานของตน และหมอบีไม่ได้โอนเงินเข้าวัดในรูปเอกสารที่ตรวจสอบได้ แต่ได้นำเงินสดให้หลวงพ่อโดยตรง
ผู้เขียนจะไม่พูดถึงประเด็นเหล่านั้นเพราะไม่รู้จริงและให้ทางการหาข้อมูลมาสรุปเผยแพร่ต่อไป ผู้เขียนเพียงอยาก ขอโอกาสเสนอทางออกให้กับสังคมไทย เพื่อทั้งความสงบสุขและความยั่งยืนของศาสนาเป็นลำดับต่อไป
งานที่ฆราวาสจะช่วยวัดระดมทุนนี้ทำได้ 2 วิธี
วิธีที่ 1 คือ มีคนที่น่าเชื่อถือของสังคม เป็นอินฟลูฯที่มีความชำนาญในการระดมทุน ชวนผู้คนให้มาบริจาคให้วัด พวกนี้จะทำงานแบบที่ปรึกษา แบบหมอหรือทนาย มีสำนักงานและอุปกรณ์รวมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำ ฯลฯ เมื่อได้เงินบริจาคมา 100 บาท ก็จะหักไว้ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนกับวัด สมมุติว่า 30 บาท อีก 70 บาทก็ให้ส่งมอบวัดไป
ส่วนวิธีที่ 2 จะทำแบบรับจ้างทำของ เช่น งานก่อสร้าง เดินสายไฟ เก็บขยะ ตัดหญ้า และอื่นๆ ในการระดมทุนเข้าวัดแบบนี้กลุ่มคนที่มาช่วยวัดจะมีห้อง โต๊ะทำงาน อุปกรณ์ และอื่นๆ ไม่ต่างจากวิธีที่ 1 โดยวัดจะจ่ายเป็นค่าจ้างให้กับคนที่มารับจ้างทำงานให้วัด แล้ววัดก็ลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายของวัด
การทำงานในสองลักษณะที่ว่านี้ทำกันอยู่เป็นปกติวิสัยในหลายวัด ไม่ใช่เรื่องแปลก มีคนทำมามากมายและยาวนานเป็นร้อยๆ ปีแล้ว แม้กระทั่งองค์กรนานาชาติ เช่น World Food Program ที่ระดมทุนเพื่อคนจนไม่มีข้าวกินก็ทำงานในลักษณะเช่นนี้ ทั้งนี้ ไม่นับรวมมัคนายกและจิตอาสาอื่นๆ ที่ไม่มีค่าจ้าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องใหม่ที่สังคมไทยยังไม่เคยรับรู้ และชาวบ้านเองก็ไม่รู้เงื่อนไขหรือข้อตกลงระหว่างวัดกับคนที่ระดมทุนให้วัด ว่าเงินที่ตัวเองบริจาคไปไม่ถึงวัด 100% ชาวบ้านจึงไม่สบอารมณ์และมีปฏิกิริยาเชิงลบชักชวนกันไม่บริจาคให้วัดอีกต่อไป
ทางออกคือ รัฐและสำนักพุทธรวมทั้งมหาเถรสมาคม ต้องทำความเข้าใจให้สังคมรับรู้ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง และในยุคปัจจุบันงบประมาณเป็นสิ่งที่จำเป็นมากอย่างหนึ่งสำหรับการพัฒนาวัดและการทำงานให้สังคมของวัดหลายๆ วัด
ข้อเสนอของผมในวันนี้ คือ ให้ใช้วิธีที่ 2 แต่เสนอให้วัดจ้างคนมาเป็นเจ้าหน้าที่ประจำของวัด ทำงานเป็น back office กินเงินเดือนวัดเป็นรายเดือน และวัดจ่ายค่าแรงเป็นค่าใช้จ่ายตรงของวัด เจ้าหน้าที่พวกนี้ไม่ควรมีบทบาทในการที่จะดูว่าวัดมีเงินเพียงพอหรือไม่ ให้เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารวัดที่ต้องวางแผนให้มีประสิทธิภาพ
คำถามคือถ้ากรรมการเหล่านั้นไม่มีทักษะในการระดมทุน ทำให้วัดได้เงินบริจาคน้อย งบไม่พอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายทั้งปวงของวัด นี้แหละที่เป็นปัญหา เป็นตัวทุกข์ เพราะถ้าวัดต้องการเงินบริจาคมากๆ มาใช้ในกิจกรรมของวัด วัดอาจตั้งเป็น KPI ว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ เมื่อหาได้ไม่พอ ก็เป็นทุกข์
การแก้ไขทำได้โดยวัดใช้ศรัทธาของศิษยานุศิษย์ที่มีทักษะในการระดมทุนมาช่วยงานของวัดในลักษณะจิตอาสา ถ้ายังได้เงินบริจาคไม่มากพอวัดก็ต้องใช้หลักปรัชญาพอเพียงและทางสายกลาง ไม่ทำอะไรที่เกินตัว
เราไม่ต้องทำวิจัยก็สามารถเดาได้ว่าบางวัดที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ โดยเฉพาะวัดที่ไปทำเรื่องที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์แม้เรื่องนั้นๆ จะดีแก่สังคมมากก็ตาม ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงเกินตัว ต้องเร่งระดมทุนแต่การณ์กลับเป็นว่าหาเท่าไรก็ได้ไม่พอ
ถ้าวัดเปลี่ยนวิธีคิดและทำเพียงแค่เท่าที่มีศักยภาพทำได้ ส่วนที่เกินขีดความสามารถของวัดก็ให้รัฐรับหน้าที่ไปดูแล เพราะไม่ใช่หน้าที่ของวัดที่ต้องดูแลสังคมให้เบ็ดเสร็จหมดทั้งประเทศ เพียงเท่านี้ก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
วัดที่มีปัญหาในลักษณะที่เป็นข่าวนี้ส่วนใหญ่เป็นวัดดัง วัดใหญ่ ในขณะที่วัดบ้านนอกขนาดเล็กจะมีบริบทที่ต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ในชนบทเจ้าอาวาสที่เป็นนักพัฒนาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนและผู้นำชุมชนในการพัฒนาสังคมโดยรอบนั้นให้ดีขึ้น
แต่ที่เหมือนกันคือทั้งวัดใหญ่และวัดเล็กต่างต้องใช้งบประมาณในการดูแลวัดและชุมชน วัดเล็กในบ้านนอกอาจไม่มีกิจกรรมดูแลผู้ป่วยหรือคนตกทุกข์ได้ยาก เช่น วัดใหญ่ในจังหวัดใหญ่ แต่ก็ยังมีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าตัดหญ้า ค่าน้ำมัน ที่ต้องจ่ายอยู่ทุกเดือน ถ้าไม่มี หาไม่ได้ และไม่มีการแก้ไข สักวันวัดเหล่านี้ก็จะกลายเป็นวัดร้างเพราะเจ้าอาวาสลาออก พระอยู่ไม่ได้
ยิ่งมีข่าวไม่ดีจากพระที่ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย ทำให้บางคนที่ไม่เข้าใจหลักธรรมและพระวินัยของสงฆ์อย่างแท้จริง เสื่อมศรัทธาในศาสนาถึงขนาดชักชวนกันให้เลิกบริจาคให้วัด ถ้าเป็นเช่นนั้นกันมากๆ วัดที่ดีๆ จะไม่มีงบมาบำรุงหรือบริการหรือเทศน์สอนชุมชน จริยธรรมของคนในสังคมยุคหน้าจะเสื่อมลง
สังคมไทยจึงไม่ควรมองอะไรเป็นมุมลบมุมเดียว แล้วปฏิเสธการดำรงอยู่ของวัด แต่ต้องมองเป็นภาพใหญ่ที่มีผลกระทบต่อลูกหลานของเราในอนาคต และหันกลับมาใช้ปัญญาที่จะเลือก รวมทั้งบริจาคให้วัดดีๆ ที่มีอยู่มากมายกันต่อไป







