เกิดก่อนปี 2535 เสี่ยงสูง! รพ. แนะ ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

เกิดก่อนปี 2535 เสี่ยงสูง! รพ. แนะ ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เตือนกลุ่มคนเกิดก่อนปี 2535 มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูง แนะรีบฉีดวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ออกมาให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ โรคมะเร็งตับ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพคนไทยจำนวนมาก โดยเน้นย้ำว่าโรคนี้สามารถป้องกันและรักษาได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ พร้อมจัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันตับอักเสบโลก

โรคไวรัสตับอักเสบ : ภัยเงียบที่ต้องใส่ใจ

โรคมะเร็งตับส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกกว่า 1 ล้านคนต่อปี สำหรับประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังประมาณ 2-3 ล้านคน และไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังประมาณ 350,000 คนทั่วประเทศ

ข่าวดี : เราสามารถป้องกันและรักษาโรคนี้ได้

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ระบุว่า เราสามารถเอาชนะโรคนี้ได้ โดย

  • ไวรัสตับอักเสบบี: มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 95% ในการป้องกันการติดเชื้อ
  • ไวรัสตับอักเสบซี: สามารถรักษาให้หายขาดได้ถึง 99% ด้วยยาใหม่ที่ใช้เวลาเพียง 8-12 สัปดาห์

ใครควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี?

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์แนะนำให้คนไทยทุกคน ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะกลุ่มคนต่อไปนี้

  • ผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 : เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีการฉีดวัคซีนในเด็กแรกเกิดอย่างทั่วถึง
  • ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี
  • คู่สมรสหรือคู่นอนของผู้ติดเชื้อ
  • ผู้ติดเชื้อ HIV หรือไวรัสตับอักเสบซี
  • หญิงตั้งครรภ์: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก
  • ผู้ที่ประกอบอาชีพที่เสี่ยงสัมผัสเลือด: เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ทันตแพทย์
  • ผู้ที่เคยได้รับเลือด หรือทำหัตถการที่ไม่สะอาด: เช่น การสัก หรือเจาะตามร่างกาย

การคัดกรองมะเร็งตับ : รู้เร็ว รักษาไว

แม้จะมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งตับทุกคน แต่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปถึง 100 เท่า ดังนั้นการตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยวิธีการมาตรฐานคือ

  • การทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน เพื่อตรวจดูตับทุก 6 เดือน
  • การตรวจเลือดดูสารบ่งชี้มะเร็งตับ (ค่า AFP) ร่วมด้วยเป็นครั้งคราว

การดูแลสุขภาพตับจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม การได้รับความรู้ที่ถูกต้องและการลงมือป้องกันที่เหมาะสม จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งตับในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน

 

 

ข้อมูล : โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์