สร้างคนไทยหัวใจทอง

สิ่งแรกที่ดิฉันเห็นว่าต้องสร้างคือ “ความมีชีวิตชีวา” ซึ่งรวมถึง ความสดชื่น ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ จะทำงาน ดิฉันพยายามสังเกตว่า ชาติที่มีความกระตือรือร้น เขาจะแสดงผ่านทางการพูดและอากัปกิริยา ยกตัวอย่าง ญี่ปุ่น หากเข้าไปในร้านอาหาร เขาจะทักทายเราด้วยความสดชื่น ผ่านเสียงสูงและดังขึ้นกว่าภาษาพูดทั่วไป เวลาเขารับทราบการเรียกบริการจากเรา เขาจะรับคำด้วยเสียงสดชื่น
เดิมจะตั้งหัวเรื่องว่า “สร้างคนรุ่นใหม่หัวใจทอง” แต่นึกขึ้นมาได้ว่า มีผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งเคยทักท้วงว่า คนรุ่นเก่าก็อยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงด้วย ดิฉันก็เลยมาชวนท่านปรับเปลี่ยนตัวเองและคนรอบข้างให้เป็น “คนไทยหัวใจทอง” เพื่อดึงผู้คนที่ (ไม่อยาก) สนใจประเทศไทย เพราะเบื่อ เพราะทนไม่ไหว หรือเพราะอะไรก็ตาม ให้กลับมาเป็นประชากรที่มีคุณภาพของประเทศกัน
ถ้าเราทำได้ และชวนคนรอบตัวทำด้วย เราก็จะสร้างสังคมที่น่าอยู่ขึ้น
สิ่งแรกที่ดิฉันเห็นว่าต้องสร้างคือ “ความมีชีวิตชีวา” (Energetic) ซึ่งรวมถึง ความสดชื่น ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ จะทำงาน ดิฉันพยายามสังเกตว่า ชาติที่มีความกระตือรือร้น เขาจะแสดงผ่านทางการพูดและอากัปกิริยา ยกตัวอย่าง ญี่ปุ่น หากเข้าไปในร้านอาหาร เขาจะทักทายเราด้วยความสดชื่น ผ่านเสียงสูงและดังขึ้นกว่าภาษาพูดทั่วไป เวลาเขารับทราบการเรียกบริการจากเรา เขาจะรับคำด้วยเสียงสดชื่น
เพื่อนชาวญี่ปุ่นบอกดิฉันว่า ยิ่งถ้าเป็นร้านขายซูชิ เขายิ่งต้องร้องต่อๆกันไปยามทักทายลูกค้าเข้าร้าน เพื่อให้มีบรรยากาศของความสดของอาหาร
ความสดชื่น มีชีวิตชีวา นี่แหละค่ะ ที่ดิฉันกำลังพูดถึง ต้องใส่ความสดชื่นเข้าไปในภาษาที่เราพูด และภาษากายอีกหน่อย เพื่ออะไรหรือคะ เพื่อกระตุ้นให้ตัวเราเองมีความสดชื่น พร้อมบริการ พร้อมทำงาน หรือพร้อมเรียน
ภาษาไทยเราก็มีการพูดแบบเสียงสูงต่ำ เวลาอยู่ในอารมณ์ต่างกัน แต่เราจะเน้นความสุภาพ เรียบร้อย ไม่พูดเสียงดัง จึงทำให้ออกมาฟังและดูเหมือนเนือยๆ และพลอยให้ทำอะไรช้าลงด้วย
ดิฉันเคยพาภรรยาของผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินในสวิสเซอร์แลนด์ไปซื้อของฝาก ตอนมาถึงแคชเชียร์ชำระเงินและห่อของขวัญ น้องทำได้ประณีตเรียบร้อย แต่ช้ามากๆ ช้าจนทั้งดิฉันและแขกอยากจะขอห่อเอง แปลจากการตัดสินของผู้ใหญ่สองคนได้ว่า การทำงานประณีตแต่ด้วยความเร็วขนาดนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล
ดิฉันสังเกตว่า เรามักจะมีเป้าหมาย “ทำให้สวย ให้เนี้ยบ” แต่ไม่มีเป้าหมายเรื่องประสิทธิภาพ คือ “สวยและเร็ว” จึงอยากฝากคนคุณภาพในยุคต่อไป ให้สามารถทำงานหลายมิติได้ ทำงานดีและมีความกระตือรือร้น ทำเสร็จเร็ว ย่อมดีกว่าทำงานดีแต่ช้า และอาจไม่ทันการณ์
ประการที่สองคือ “หยืดหยุ่น ปรับตัวได้ แก้ไขปัญหา และเปิดใจรับฟังคำวิจารณ์” อันนี้ต้องรีบทำโดยเร็ว เพราะดิฉันคิดว่า เป็นเฉพาะในสมัยที่ดิฉันเป็นนักเรียน คือ 40-50 ปีที่แล้ว ซึ่งเด็กจะเคารพและเชื่อฟังผู้ใหญ่ จึงไม่ค่อยกล้าทักท้วง หรือแสดงความเห็นเพิ่มในลักษณะสร้างสรรค์ และคิดว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว แต่เมื่อเร็วๆนี้ ได้คุยกับคนไทยที่เคยทำงานในต่างประเทศ และคนไทยที่ทำงานองค์กรต่างประเทศ ได้รับทราบว่า ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ คนที่อยู่ในองค์กรแบบไทยๆส่วนใหญ่ ไม่กล้าเสนอความคิดเห็น ไม่กล้าเสนอแนวคิดใหม่ๆ ผู้ใหญ่ยังไม่เปิดกว้างรับฟังการวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ จึงทำให้เสียโอกาสได้ความคิดดีๆจากคนรุ่นใหม่
สำหรับผู้วิจารณ์หรือแสดงออก ก็ต้อง “แสดงออกอย่างกล้าหาญ” ไม่ควรเอาแต่วิจารณ์ด้านลบ หรือ “ช่างติ” แต่ให้ความเห็นที่สร้างสรรค์และความหวังดีจากใจจริง นอกจากนี้ อย่าได้คิดดูหมิ่นว่าคนรุ่นเก่า ไม่รู้ในสิ่งที่ตนรู้เด็ดขาด เพราะคนแต่ละรุ่นก็มีดีและเก่งในยุคสมัยของเขาซึ่งเราอาจไม่ทราบไม่เห็น
จริงๆคุณสมบัติข้อนี้ คือ “เปิดหู เปิดตา เปิดใจ” ได้เคยเขียนถึงไปแล้วในชุดว่าด้วย “คาถาพาชีวิตสู่ความสำเร็จหลังยุค โควิด-19”
ประการที่สาม “รับผิดชอบ มีวินัย และเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ทำ” ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การเล่น การทำงาน หรือการแข่งขัน ต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด มีใจจรดจ่อกับสิ่งที่ทำ ไม่ใช่ทำเพื่อถูกถ่ายรูป ทำเพราะใครๆก็ทำกัน หรือทำเพราะกลัวตกกระแส หรือเล่นโซเชียลมีเดียในขณะทำงานทั้งวัน
คุณสมบัติเรื่องความรับผิดชอบและมีวินัยนี้ เป็นข้อสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่ต้องไม่มากเกินไป เช่น บางคนถึงกับยึดเอาว่า แพ้ไม่ได้ มองว่าคู่แข่งคือศัตรู เป็นต้น การเอาจริงเอาจังต้องอยู่ในขอบเขต และต้องใช้อย่างมีวิจารณญาณ
ดิฉันเองโดยส่วนตัวชอบการแข่งขัน เพราะยึดคติว่า “คู่แข่งที่เก่ง จะทำให้เราเก่งขึ้น” ยกระดับมาตรฐานของเราได้
เรื่องการไม่เอาจริงเอาจังกับงานนั้น คนจากประเทศที่มีวินัยบางคนรับพฤติกรรมปัจจุบันของคนไทยบางกลุ่มไม่ไหวจริงๆค่ะ และพลอยเหมารวมว่า คนไทยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่มีสมาธิในการทำงาน เพราะมัวแต่ห่วงการสนทนา หรือยอดไลค์และแชร์ในโลกโซเชียล พนักงานเสริฟของร้านอาหาร ยืนจับกลุ่มคุยกัน ไม่สนใจมองหาว่าลูกค้าจะเรียก
ประการที่สี่ “รู้ผิดชอบชั่วดี และซื่อสัตย์สุจริต” ทุกคนมีความรู้สึกนึกคิดหลายอย่างปนกัน แต่สิ่งที่ต้องทำคือ นำสิ่งดีๆ ออกมาสร้างสรรค์ และกำจัดสิ่งที่ไม่ดี ต้องยับยั้งชั่งใจ ต้องกดสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความนึกคิด ความรู้สึก ที่ไม่ดีต่างๆลงไป กดไปนานๆ ก็จะหายไปเอง
ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝัง และสังคมต้องมีการตั้งข้อรังเกียจคนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต
ประการที่ห้า “ใฝ่รู้ และใฝ่การเรียนรู้ตลอดชีวิต” รวมถึงการรู้จัก คิด วิเคราะห์ แยกแยะ และกลั่นกรองข้อมูลต่างๆ ไม่เชื่อทุกอย่างที่อ่านหรือรับทราบ
ประการที่หก “รับผิดชอบในฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศและของโลก” มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม รักบ้านเกิดเมืองนอน ให้ความร่วมมือในการสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี มีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์
ประเทศต้องมีประชากรที่ดี เพื่อให้ประเทศอยู่รอดต่อไปได้!







