ข่าวเขมรร้อนฉ่า…แต่จะชวนคุยเรื่องที่เงียบกว่า คือเรื่องสิงคโปร์ครับ

ข่าวเขมรร้อนฉ่า…แต่จะชวนคุยเรื่องที่เงียบกว่า คือเรื่องสิงคโปร์ครับ

เพราะพรุ่งนี้ สิงคโปร์จะมีอายุครบ 60 ปีแล้ว

ประเทศที่เพิ่งเกิดเมื่อ 9 สิงหาคม 1965 เทียบกับไทยที่มีรัฐชาติมา 787 ปี…ลองมาดูว่า ใครไปได้ไกลกว่ากัน?

เมื่อวันที่สิงคโปร์ถูกขับออกจากมาเลเซียนั้น เรามีมหาวิทยาลัยดีๆ อย่าง จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ เชียงใหม่ ฯลฯ และมีนักเรียนนอกกลับมาพัฒนาประเทศแล้ว

เรามี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” ฉบับแรก และเป็นผู้นำในภูมิภาค เราร่วมก่อตั้งASA ซึ่งต่อมาเติบโตเป็นASEAN เรามีเครือข่ายถนน เขื่อน โรงไฟฟ้า และทรัพยากรธรรมชาติมากมาย รวมทั้งแรงงานพร้อมใช้

ในขณะที่สิงคโปร์ ไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดจะใช้ ประชาชนส่วนใหญ่มีชีวิตเรียบง่าย ความรู้ระดับประถมมัธยม ยังไม่มีที่อยู่อาศัยถาวร ไม่มีพื้นที่เกษตร ไม่มีกองทัพ ไม่มีอะไรเลย ที่ดูแล้วจะนำไปสู่ความเป็นประเทศได้ง่ายๆ

ลี กวนยู ถึงกับหลั่งน้ำตากับประชาชน เพราะมองไม่เห็นว่าจะนำประเทศไปอย่างไร

60 ปีผ่านไป…สิงคโปร์กับไทย ใครไปไกลกว่ากัน?

ตอบไม่ง่ายครับ เพราะการวัดความเจริญของประเทศมีหลายวิธีบางคนดูที่GDP บางคนวัดที่ความเป็นประชาธิปไตย บางคนดูที่กฎหมาย เสรีภาพ ความสุข การศึกษา หรือระบบสุขภาพที่ดี ฯลฯ

แน่นอนว่า ถ้าใช้ตัวชี้วัดต่างกัน ผลย่อมต่างกัน บางอย่างเราดีกว่า บางอย่างเขาดีกว่า เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ถ้าจะหาตัวชี้วัดที่ “รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน” ผมคิดว่า “Credit Rating” น่าจะใกล้เคียงที่สุด

เพราะองค์กรจัดอันดับเครดิตอย่างS&P หรือ Moody’sเขาวิเคราะห์ข้อมูลจากตัวชี้วัดทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มากกว่า 40 ตัว ก่อนจะสรุปออกมา เหลือเพียงตัวเดียว คือ “Credit Rating”

โดยเรียกเป็นสัญญลักษณ์ เช่น AAA, AA, A, BBB, BB, B, CCC เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนทั่วโลก นำมาใช้วัดความน่าเชื่อถือของประเทศต่างๆ

เมื่อปี 1996 สิงคโปร์เพิ่งมีอายุ 30 ปี เขาได้เรตติ้ง AAA แล้วครับ เป็นระดับสูงสุด ซึ่งไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ได้รับเรตติ้งนี้

ในขณะนั้น ไทยได้ A ต่ำกว่าสิงคโปร์ถึง 5 ขั้น

พอปี 1997 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง เครดิตของไทยร่วงลงไปอยู่ที่ BBB-แล้วก็ไต่ขึ้นมาใหม่ เป็น BBB+ ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา ทำให้เราต่ำกว่าสิงคโปร์มากขึ้นเป็น 7 ขั้น

แต่ที่ทำให้หงุดหงิดใจก็คือเราไม่เคยขยับขึ้นไปได้อีกเลยครับ เป็นเวลา 21 ปีแล้วแถมเมื่อ 2 เดือนก่อน Moody’s ก็เพิ่งปรับแนวโน้มของไทยเป็น “ลบ” อีกด้วย

ในขณะที่สิงคโปร์รักษา AAA ไว้ได้ตลอด 30 ปี ไม่ว่าจะเผชิญกับต้มยำกุ้ง วิกฤติซับไพรม์ โควิด หรือเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนในปัจจุบันก็ตาม

เขาทำได้อย่างไร? แล้วทำไมเราใช้เวลา 21 ปี แค่จะขยับจาก BBB+ ไป A- เพียงอันดับเดียว ยังทำไม่ได้เลย

เมื่อก่อนเรามักปลอบใจตัวเองว่า สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก บริหารง่ายแต่ผมว่านั่นเป็นข้อแก้ตัว เพราะจีนก็เคยยากจน และมีคนมากกว่าพันล้านคน มากกว่าไทยถึง 20 เท่า

ทำไมจีน จึงก้าวมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกได้เล่า?

การบริหารระบบรวมศูนย์อย่างจีนหรือสิงคโปร์ ทำให้พัฒนาได้เร็วและเสถียร แต่ก็ขอย้ำว่าประชาชนมีเสรีภาพที่จำกัด สื่อถูกควบคุม สังคมมีความกดดันสูง ซึ่งตัวชี้วัดกลุ่มนี้ ไทยเรามีจุดแข็งมากกว่า

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สิงคโปร์มีก็คือ ผู้นำที่เด็ดขาด มุ่งมั่น กล้าจัดการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และระบบราชการที่มีวินัย โปร่งใส วัดกันที่ “ผลลัพธ์” ไม่ใช่ “ผลประโยชน์”

ส่วนบ้านเรา ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลมากี่ครั้ง ก็ยังวนอยู่กับ “2 ป”ไม่ใช่สองนายพลนะครับ แต่หมายถึง “ประชาธิปไตย” กับ “ปฏิวัติ”

เลือกตั้งกี่หน ถึงแม้มีคนหน้าใหม่เข้ามา แต่คนหน้าเดิมๆก็ยังวนกลับมาเสมอ ปฏิวัติกี่รอบก็มักมีสาเหตุมาจากเรื่องคอรัปชั่น แล้วก็จบที่รัฐธรรมนูญใหม่จากนั้นก็เข้าสู่วงจรเดิม

แต่สิงคโปร์มุ่งสร้างสังคมซึ่ง“ไม่มีพื้นที่ให้คนโกง” รัฐมนตรีลาออกแม้ยังไม่มีคำพิพากษา ข้าราชการระดับสูงพลาดเพียงเล็กน้อย ก็หมดอนาคต

บ้านเราไม่เพียงไม่ลาออกเท่านั้น บางครั้งยังได้รับการ “อวย” จากบางคน ด้วยวลีคลาสสิกว่า “โกงบ้าง ก็ไม่เป็นไร”

แน่นอนว่าบ้านเมืองมีปัญหาหลากหลาย และหลายอย่างเราก็แก้ไขได้ แต่ตราบใดที่สังคมยังให้ “ที่ยืน” กับคนโกง ต่อให้เลือกตั้งอีก 10 ครั้ง หรือรัฐประหารอีก 10 รอบ Credit Rating ของเราก็จะยังอยู่ที่เดิม หรืออาจแย่ลง

เรา มีทั้ง ปปช. ปปท. สตง. และองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น ฯลฯ แต่สรุปคือยังแก้ไม่ได้ การโกงฝังรากลึก

จนอาจกลายเป็นวิถีชีวิต เช่น ตึก สตง. ถล่ม คนส่วนใหญ่ก็ยังคิดเหมือนๆกันว่า… “ต้องมีคอร์รัปชันอยู่เบื้องหลัง”

บางคนเสนอให้เปลี่ยนระบบ ให้เป็นแบบรวมศูนย์ไปเลย แต่ผมว่าไม่จำเป็นต้องสุดโต่งขนาดนั้น เพราะคงเกิดความขัดแย้งในสังคม

ลองพยายามอีกสักครั้งดีไหม? ด้วยการเปลี่ยน “วิธีการ” ในการรวมพลังประชาชน เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ “ไม่ยอมรับการโกง” …แต่ว่าจะต้องทำอย่างจริงจัง

เรามีกลุ่มเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม ถ้ามีสักกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมา รวมพลังประชาชนให้ได้มากจริงๆ และ“พุ่งเป้า” การเคลื่อนไหวไปที่ “ภารกิจเดียว” เลย คือสกัดนักการเมืองฉ้อฉล และ ข้าราชโกง ออกจากอำนาจ

ตามติดทุกกรณี ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหน หรือกระทรวงใด 

เป็นกลุ่มคนธรรมดา ที่กล้าประกาศว่า “คนโกง ไม่มีสิทธิ์อยู่ในอำนาจ”แต่ไม่ใช่แค่พูด ต้อง “ทำ” จริงด้วยการหาข้อมูล หาหลักฐาน เปิดเผย ฟ้องร้อง และเกาะติด ไม่ให้เงียบหายไปกับสายลม

แต่ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ และไม่มีเจตนากลั่นแกล้งหรือข่มขู่ใครเพื่อจะนำไปหาประโยชน์ส่วนตัว

แค่นี้เราก็อาจมีหวังได้เห็น A- A หรืออาจไปถึง A+ ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า

แต่ถ้าคนโกงก็ยังอยู่ และคนล้มเหลวก็ยังมีอำนาจ เราคงไม่ได้เห็น A- A หรือA+ ในชาตินี้

เพราะแค่จะขยับคนพวกนี้ออกไปให้พ้น… เรายังทำไม่ได้เลย