ประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจ ‘เงินที่ถูกทิ้ง’ โดยไม่พบสาเหตุ

โดยปกติหากท่านผู้อ่านพบเงิน 10 บาท หล่นอยู่ข้างถังขยะ ท่านผู้อ่านจะทำอย่างไรกับเงินจำนวนดังกล่าว หลายท่านอาจตอบว่าเป็นเงินเล็กน้อยก็เก็บไว้ หรือนำไปบริจาคเพราะอย่างไรก็ยากที่จะหาตัวเจ้าของ
อาจจะพูดในอีกแง่ก็ได้ว่า “เสียเวลา” ที่จะตามหาเจ้าของเงิน แต่หากจำนวนเงินนั้นไม่ใช่แค่ 10 บาท แต่เป็น 20,000 บาท 500,000 บาท หรือ 12 ล้านบาท ท่านผู้อ่านคิดว่าเหตุผลในการติดตามหาเจ้าของเงินก้อนดังกล่าวจะเปลี่ยนไปหรือไม่?
ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงกรณีที่ทุกท่านอาจไม่คาดคิดว่า “หากเราพบเงินจำนวนมากวางทิ้งไว้ โดยไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของหรือมูลเหตุจูงใจในการที่เค้าหลงลืมจนเป็นเหตุและผลของการนำกล่องเงินดังกล่าวนั้นมาทิ้ง” โดยสรุปเป็น 2 ข้อขบคิดที่น่าสนใจ คือ “ประเด็นที่น่าสนใจ” และ “วิเคราะห์กฎหมายที่เกี่ยวข้อง”
ประเด็นที่น่าสนใจ มีดังต่อไปนี้
1) การเก็บรักษาเงินสดจำนวนมาก? กล่าวคือ เงินจำนวนมากขนาดนั้นทำไมไม่ฝากธนาคารหรือนำไปลงทุนสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หากสืบทราบว่าใครเป็นเจ้าของ แต่กลับได้เหตุผลสั้นๆว่า “ถอนมาหมุนใช้ในการลงเล่นการเมือง” เหตุผลเพียงเท่านี้เพียงพอหรือไม่กับจำนวนเงินจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้?
2) เป็นไปตามกฎหมายทรัพย์สินที่ตกหล่นหรือไม่? กล่าวคือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1323-1327 หากผู้ใดพบทรัพย์โดยส่งมอบทรัพย์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจภายใน 3 วัน และปรากฏว่าภายใน 1 ปี ไม่ปรากฏเจ้าของ หรือพิสูจน์ทราบไม่ได้ว่าผู้กล่าวอ้างเป็นเจ้าของจริง ทรัพย์นั้นย่อมตกเป็นของแผ่นดิน และ “ผู้พบ” มีสิทธิ์เรียกรับรางวัลตามกฎหมายได้สูงสุด 10 % ของมูลค่าทรัพย์ ซึ่งกรณีนี้อาจสูงถึง 1.2 ล้านบาท โดยขณะนี้แม้จะมีนายทวีวัฒน์กล่าวอ้างความเป็นเจ้าของแต่ก็ยังต้องพิสูจน์ความชัดเจนต่อไป
3) เป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? กล่าวคือ ข้อเท็จจริงที่ได้มาทั้งหมดนั้นนำมาซึ่งข้อสันนิษฐานอันมีความเสี่ยงต่อการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และหากการที่ผู้อ้างเป็นเจ้าของเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือมีสามีหรือภรรยาที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม เช่นนี้ย่อมนำมาซึ่งอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่สามารถเข้าตรวจสอบทรัพย์สินดังกล่าวว่ามีจำนวนมากเกินความเป็นจริงในฐานะของการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเกินจริงของคู่สมรสในประเด็นการหลีกเลี่ยงภาษี
4) สภาพแวดล้อมที่เกิดเหตุ? กล่าวคือ สถานที่พบเงินที่ถูกทิ้งความย่อมมีความสำคัญต่อการพิจารณามูลเหตุจูงใจ เช่น การพบยังจุดทิ้งขยะที่มีลักษณะ “มุมอับ” สายตาของพื้นที่สาธารณะ หรือเป็นพื้นที่อันไม่มีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพได้ หรือเป็นบริเวณดังกล่าวกล้องวงจรปิดชำรุด อันทำให้พิสูจน์วิธีการนำลังลงมาทิ้งได้ยาก ผู้นำมาทิ้งอาจทราบถึงข้อเท็จจริงนี้จึงเลือกจุดนี้เป็นที่กระทำการ ซึ่งก่อให้เกิดความน่าสนใจต่อการได้มาของก้อนเงินว่าได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
วิเคราะห์กฎหมายที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้
1) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ผู้พบส่งมอบเงินให้แก่เจ้าหน้าที่โดยทันที มีผลทำให้ไม่เป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมาย และยังมีสิทธิขอรับรางวัลในการส่งมอบร้อยละ 10 ของทรัพย์ที่พบ หากตำรวจรักษาไว้ และไม่มีผู้ที่มีหลักฐานพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์นั้นจริง ตามมาตรา 1323-1327
2) ประมวลกฎหมายอาญา หากผู้กล่าวอ้างเป็นเจ้าของทรัพย์ ไม่สามารถพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามกล่าวอ้างพบว่า ผู้กล่าวอ้างเป็นเจ้าของเป็นผู้ถอนเงินดังกล่าวออกจากธนาคารจริง เช่นนี้อาจเข้าข่าย “ยักยอกทรัพย์” ตามมาตรา 352 และหากการกล่าวอ้างเพื่อให้ได้มาเป็นเจ้าของเงินดังกล่าวเกิดจากการอ้างอิงเอกสารการถอนเงินปลอม ก็อาจเป็นความผิดเพิ่มเติมในข้อหา “ฉ้อโกง” ตามมาตรา 341 ต่อไป
3) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และ กฎกระทรวง กำหนดวงเงิน พ.ศ. 2559 หากผู้กล่าวอ้างเป็นเจ้าของ อ้างข้อเท็จจริงที่ว่า “ทยอยถอนเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายปี” แต่การสะสมเงินสดหลายล้านไว้ในที่พักเสี่ยงเข้าข่าย “พฤติการณ์หลบเลี่ยงระบบการเงิน” อาจถูกตีความเป็นรายการ CTR/STR ได้โดยธนาคารต้นทาง เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน มาตรา 13 เข้าข่ายฐานความผิดที่ ปปง. มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขออายัดทรัพย์ต่อไปอีก 90 วัน เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมด
4) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป.ป.ช.) พระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ ใช้เมื่อกรณีที่เกิดขึ้นนั้นปรากฏชัดเจนว่า “ผู้เป็นสามีหรือภรรยาที่กล่าวอ้างเป็นเจ้าของนั้นเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ” จึงต้องนำมาซึ่งการตรวจสอบเหตุแห่งการมีทรัพย์จำนวนมากที่ไม่สอดคล้องกับรายได้ประจำ อาจเข้าข่าย “ร่ำรวยผิดปกติ” ตาม พ.ร.ป.ป.ช. มาตรา 130 ซึ่งเปิดช่องให้ยึดทรัพย์หากพิสูจน์ไม่ได้ต่อไป
5) ประมวลรัษฎากร (กฎหมายภาษี) การสะสมเงินสดจำนวนมาก ไม่ใช่ความผิดอาญาโดยตัวมันเอง แต่เป็นตัวลักษณะบ่งชี้ (red flag) ให้สรรพากรมีอำนาจในการสอบภาษีย้อนหลังว่ามี “รายได้ไม่ยื่นแบบแสดงรายการหรือรายจ่ายจริง” เพื่อเลี่ยงภาษีหรือไม่ ตามประมวลรัษฎากร ม. 37
ดังนั้น คดีดังกล่าวจึงเป็นมากกว่าข่าว “เงินหล่นกลางถังขยะ” เพราะเชื่อมโยงกฎหมายที่หลากหลายจนอาจกลายเป็นคดีตัวอย่าง ที่ตอกย้ำหลัก “โปร่งใส ตรวจสอบได้” ของระบบการเงินไทย และกลายเป็นมาตรฐานใหม่ให้ทั้งสถาบันการเงินและเจ้าหน้าที่รัฐต้องรัดกุมกว่าเดิมในการจัดการธุรกรรมเงินสดที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องนั่นเอง







