จากคาสิโน สู่ IR แห่งอนาคต : ประสบการณ์ เทคโนโลยี ยั่งยืนคือหัวใจ

IR แห่งอนาคตพลิกจากคาสิโน สู่ศูนย์รวมประสบการณ์ เทคโนโลยี และความยั่งยืน ที่ผสานวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลงตัว
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โมเดลของ Entertainment Complex หรือ Integrated Resort (IR) ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากเดิมที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้หลักจากคาสิโนและโรงแรมหรู มาสู่รูปแบบที่หลากหลายและมีมิติทางสังคม เทคโนโลยี และวัฒนธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่โลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืน การบริโภคเชิงประสบการณ์ และการสร้างเมืองอัจฉริยะ การพัฒนา IR จึงกลายเป็นมากกว่าศูนย์รวมความบันเทิง แต่กลายเป็นกลไกทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงผู้คน เทคโนโลยี และตัวตนของเมืองเข้าด้วยกัน
จากคาสิโนสู่ “เศรษฐกิจแห่งประสบการณ์”
จุดเปลี่ยนสำคัญของ IR ยุคใหม่คือการเคลื่อนตัวออกจากการพึ่งพาคาสิโนเป็นศูนย์กลาง เพื่อลดแรงต้านจากสังคมและข้อจำกัดด้านกฎหมายในหลายประเทศ โดยเน้นไปที่การสร้าง “ประสบการณ์” ที่ครอบคลุมและลึกซึ้งกว่าเดิม ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้ต้องการแค่การพักผ่อนหรือความบันเทิงทั่วไปอีกต่อไป แต่ต้องการเรื่องราว การมีส่วนร่วม และอัตลักษณ์ของสถานที่ที่ไม่เหมือนใคร IR ยุคใหม่จึงกลายเป็นพื้นที่แห่งวัฒนธรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ให้บริการ แต่คือ “แพลตฟอร์มของประสบการณ์” หรือ “Immersive Experience Ecosystem”
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโครงการ MGM Osaka ของญี่ปุ่น ที่รัฐบาลญี่ปุ่นอนุญาตให้ดำเนินกิจการคาสิโนเป็นกรณีพิเศษ โดยกำหนดให้พื้นที่สำหรับการพนันมีสัดส่วนเพียง 3% ของโครงการทั้งหมด ส่วนที่เหลือถูกออกแบบเป็นพิพิธภัณฑ์ดิจิทัล สวนสาธารณะ อาคารประชุม และศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งชูความเป็นญี่ปุ่นในมุมมองร่วมสมัย ผ่านการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างชาญฉลาด
เทคโนโลยีไม่ใช่ของตกแต่ง แต่เป็นแกนกลางของประสบการณ์
อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญของ IR ยุคใหม่คือเทคโนโลยี โดยเฉพาะการใช้นวัตกรรมเพื่อยกระดับ “การมีส่วนร่วม” ของผู้เข้าชมให้ลึกขึ้นและหลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์เพื่อนำเสนอประสบการณ์เฉพาะบุคคล การนำเสนอการแสดงผ่านเทคโนโลยี AR/VR ที่เปลี่ยนพื้นที่แสดงโชว์ให้กลายเป็นโลกเสมือน หรือการใช้ระบบ Digital Twin ที่จำลองพื้นที่ของ IR ให้สามารถทดลองปรับเปลี่ยนฟังก์ชันและบริหารจัดการได้อย่างยืดหยุ่น
ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ MSG Sphere ในลาสเวกัส ซึ่งใช้เทคโนโลยีจอภาพ LED ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมระบบ AI ตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้ชม เพื่อสร้างประสบการณ์การแสดงสดที่ไม่มีที่ใดเทียบได้ หรือโครงการ Area15 ในลาสเวกัส ที่รวบรวมศิลปะ เทคโนโลยี เกม และอีเวนต์ไว้ในพื้นที่เดียว โดยเน้นการออกแบบที่กระตุ้นประสาทสัมผัสและการมีส่วนร่วมแบบ Interactive อย่างเต็มรูปแบบ
ในอีกด้านหนึ่ง ระบบอาคารอัจฉริยะ (Smart Building) และ IoT ยังช่วยให้ IR มีการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้ทรัพยากร และเพิ่มความปลอดภัยในทุกมิติ โดยเฉพาะ IR ที่ตั้งอยู่ในเมืองอัจฉริยะหรือเขตพัฒนาใหม่ เช่น Yumeshima Island ของโอซาก้า หรือ Paradise City ที่เกาหลีใต้ ซึ่งเชื่อมโยงระบบคมนาคม อุปกรณ์อัจฉริยะ และการบริการในรูปแบบไร้สัมผัสอย่างไร้รอยต่อ
โมเดลธุรกิจใหม่ที่ลดการพึ่งพาการพนัน
ภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมายและแรงต้านจากสังคมในหลายประเทศ การพัฒนา IR ในยุคใหม่จึงต้องพัฒนาโมเดลธุรกิจที่หลากหลายและมั่นคงมากขึ้น โดยเฉพาะการออกแบบให้รายได้ของโครงการไม่ได้พึ่งพารายได้จากการพนันเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงรายได้จากธุรกิจบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness & Medical Tourism) ศูนย์ประชุมและนิทรรศการ (MICE) ที่พักแบบเรสซิเดนซ์ หรือธุรกิจด้าน Soft Power เช่น พิพิธภัณฑ์ดิจิทัล อีสปอร์ต และศูนย์ศิลปะร่วมสมัย
ในแง่โครงสร้างพื้นที่ โครงการ IR รุ่นใหม่หลายแห่งเลือกออกแบบในรูปแบบ Mixed-Use ที่มีพื้นที่สำหรับโรงแรม ร้านอาหารระดับโลก ศูนย์ศิลปะ พื้นที่ startup hub ไปจนถึงการรวมที่อยู่อาศัยระดับ Luxury Residence สำหรับผู้ที่ต้องการ “ใช้ชีวิตในประสบการณ์” ไม่ใช่แค่มาเยือน ตัวอย่างเช่น Galaxy Macau ที่พัฒนาโครงการศิลปะและพิพิธภัณฑ์ควบคู่กับโรงแรมหรูและแหล่งช้อปปิ้งระดับพรีเมียม จนกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่รวม Soft Power เข้ากับโมเดลธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ความยั่งยืน และ ESG จาก “ทางเลือก” สู่ “ข้อจำเป็น”
ในอดีต โครงการขนาดใหญ่ระดับ IR มักถูกวิพากษ์ว่าใช้ทรัพยากรมหาศาลและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในปัจจุบัน หากโครงการใดไม่ใส่ใจด้าน ESG ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ นักลงทุน หรือแม้แต่ประชาชนในพื้นที่
หลายโครงการจึงเริ่มตั้งเป้า Net Zero หรือแม้แต่ Carbon Negative โดยการใช้ระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ รีไซเคิลน้ำแบบวงปิด และการออกแบบอาคารตามแนวทางสถาปัตยกรรมเขียว ตัวอย่างเช่น Resorts World Sentosa 2.0 ในสิงคโปร์ ที่ลงทุนอย่างจริงจังในระบบรีไซเคิลน้ำ การใช้แสงธรรมชาติ และการลดพลาสติกแบบ 100% ตลอดทั้งโครงการ
วัฒนธรรมท้องถิ่นและ Soft Power คือจุดขายสำคัญ
แม้เทคโนโลยีและสิ่งปลูกสร้างจะสามารถสร้างความอลังการได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ IR แต่ละแห่งแตกต่างอย่างแท้จริงคือ “วัฒนธรรม” และ “ตัวตนของสถานที่” IR ในอนาคตจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสามารถนำอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาสร้างประสบการณ์ที่ร่วมสมัยและเข้าถึงได้
เช่น โครงการ Qiddiya ของซาอุดีอาระเบีย ที่วางตำแหน่งตัวเองเป็น “เมืองหลวงแห่งความบันเทิงของโลกอาหรับ” โดยเน้นการนำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมอิสลามในรูปแบบที่ทันสมัย รวมถึงการใช้พื้นที่กลางแจ้งเป็นที่จัดแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่นในรูปแบบ Festival Market แบบถาวร หรือ MGM Cotai ที่มาเก๊า ซึ่งออกแบบโรงแรมและศูนย์ศิลปะด้วยแรงบันดาลใจจากศิลปะจีนและโปรตุเกส สะท้อนรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของมาเก๊าอย่างงดงาม
IR กับการพัฒนาเมือง ไม่ใช่เกาะลอย แต่ต้องเชื่อมเมือง
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนในทศวรรษนี้คือแนวคิดของ IR ที่ไม่แยกตัวออกจากเมือง แต่กลายเป็น “องค์ประกอบของเมืองอัจฉริยะ” โครงการใหม่ๆ มักตั้งอยู่ในเขตที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้เป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่” มีระบบขนส่งสาธารณะเข้าถึง มีการวางผังเมืองร่วมกับภาครัฐ และกลายเป็นจุดเชื่อมต่อของผู้คนในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การศึกษา หรือการท่องเที่ยว
ตัวอย่างเช่น Paradise City ของเกาหลีใต้ ซึ่งตั้งอยู่ติดสนามบินอินชอน กลายเป็นศูนย์กลางการประชุม การจัดแสดงสินค้า และพื้นที่พบปะของนักเดินทางทั่วโลก หรือ Marina Bay Sands ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นหัวใจของการวางผัง Marina Bay ให้กลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของเมือง ที่ผสมผสานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
อ้างอิง
- บทวิเคราะห์อุตสาหกรรม IR และความยั่งยืน รายงานโดย Deloitte, PwC และ McKinsey เกี่ยวกับแนวโน้มการพัฒนา IR ยั่งยืน และโมเดลธุรกิจใหม่ในยุคหลัง COVID-19
- https://www2.deloitte.com
- https://www.pwc.com/gx/en/industries/hospitality-leisure.html
- https://www.mckinsey.com/industries/travel-logistics-and-infrastructure







