แรงต้าน 'คาสิโน' ใน สถานบันเทิงครบวงจร ประวัติศาสตร์ - สถิติควรรู้

แรงต้าน 'คาสิโน' ใน สถานบันเทิงครบวงจร ประวัติศาสตร์ - สถิติควรรู้

กว่าจะเกิด Entertainment Complex สถานบันเทิงครบวงจร ที่มีคาสิโนด้วย ในหลายประเทศต้องเจออุปสรรคแบบไหน เปิดประวัติศาสตร์ - สถิติควรรู้ เบื้องหลังสู่ความสำเร็จ

การเปิด 'คาสิโน' ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายในหลายประเทศ แม้ในบริบทของ 'สถานบันเทิงครบวงจร' (Integrated Resort – IR) ที่รวมโรงแรม ศูนย์ประชุม ร้านค้า ความบันเทิง และคาสิโนเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หลายรัฐบาลทั่วโลกต้องใช้เวลานับสิบปี ฝ่าแรงต้านจากภาคสังคม ศาสนา กลุ่มต่อต้านการพนัน และฝ่ายค้านในรัฐสภา ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความกังวลถึงผลกระทบทางสังคมและศีลธรรม

 

กรุงเทพธุรกิจจะพาไปสำรวจประวัติศาสตร์และสถิติเกี่ยวกับกระแสต่อต้านคาสิโนในหลายประเทศ พร้อมบทเรียนสำคัญที่ช่วยให้คาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจรประสบความสำเร็จในที่สุด

'ญี่ปุ่น' ฝ่าด่านอนุรักษนิยมสู่การเปิดทาง IR

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใช้เวลานานที่สุดแห่งหนึ่งในการเปิดคาสิโนอย่างถูกกฎหมาย กระบวนการถกเถียงเริ่มขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ก่อนจะมีการออกกฎหมาย 'Integrated Resort Promotion Act' ในปี 2018 ซึ่งอนุญาตให้สร้างรีสอร์ตคาสิโนในพื้นที่จำกัด

แม้จะเป็นหนึ่งในประเทศของโลกที่เปิดกว้างด้านเทคโนโลยีแต่กลับค่อนข้างอนุรักษนิยมในเรื่องการพนัน และแม้จะมีปาจิงโกะที่แพร่หลาย แต่ 'คาสิโนแบบรีสอร์ต' ถูกห้ามมาโดยตลอด จนกระทั่งปี 2018 (กว่า 20 ปี) รัฐสภาญี่ปุ่นผ่าน 'กฎหมายส่งเสริมรีสอร์ตแบบบูรณาการ (IR Promotion Act)' ท่ามกลางแรงคัดค้านจากประชาชนกว่า 60% (อ้างอิงจาก NHK Poll) ที่กังวลเรื่องปัญหาการติดพนันและอาชญากรรม

แต่กว่าจะผ่านได้ รัฐบาลต้องออกกฎหมายควบคุมการเข้าคาสิโนของคนญี่ปุ่นอย่างเข้มงวด เช่น จำกัดจำนวนเข้าคาสิโนไม่เกิน 3 ครั้ง/สัปดาห์ , จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าคาสิโน และยกระดับมาตรการคัดกรองการเงิน ไปจนถึงระบบบัตรสมาชิกเพื่อป้องกันการติดพนัน และจำกัดจำนวนคาสิโนไว้ที่ 3 แห่งเท่านั้น

 

'สิงคโปร์' เสียงค้านที่เปลี่ยนเป็นโมเดลแห่งความสำเร็จ

สิงคโปร์เคยต่อต้านคาสิโนอย่างหนักมาตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 จนกระทั่งปี 2005 นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงผลักดันแนวคิด IR โดยเน้นว่า 'ไม่ใช่คาสิโน แต่เป็นสถานบันเทิงครบวงจรเพื่อเศรษฐกิจ'

เสียงค้านจากกลุ่มศาสนาและครอบครัวมีมากในช่วงแรก แต่รัฐบาลใช้เวลาสื่อสารกับสังคมอย่างต่อเนื่อง และเน้นการควบคุมคนในประเทศไม่ให้เข้ามาเล่นพนันง่ายๆ เช่นเดียวกับญี่ปุ่น โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 100 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อวัน (หรือราว 2,000 ต่อปี) สำหรับชาวสิงคโปร์ที่ต้องการเข้าเล่นพนัน ผลลัพธ์คือ Marina Bay Sands และ Resorts World Sentosa กลายเป็นแม่เหล็กเศรษฐกิจดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 17 ล้านคนต่อปี และช่วยเพิ่ม GDP ได้มากกว่า 1.5%

มาตรการสำคัญในการรับมือ

สิงคโปร์ออกนโยบาย 'Entry Levy' เรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายวันจากประชาชนสิงคโปร์และผู้ถือถิ่นที่อยู่ถาวร (SCPR) เมื่อเข้าไปในส่วนคาสิโนของรีสอร์ตบันเทิงครบวงจร (Integrated Resort – IR) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดโอกาสเล่นคาสิโนแบบไม่ตั้งใจหรือแฟชวล (impulse gambling) เป็นมาตรการป้องกันปัญหาการพนันที่อาจโตเร็วในกลุ่มคนท้องถิ่น และปกป้องความสมดุลของสังคมและลดความเสี่ยงจากการติดการพนัน และรัฐบาลสิงคโปร์ยังจัดตั้ง 'National Council on Problem Gambling' เพื่อดูแลผู้ติดพนันและรณรงค์การเล่นพนันอย่างรับผิดชอบ

'สหรัฐอเมริกา' ความหลากหลายของนโยบายและเสียงคัดค้านในแต่ละรัฐ

ในประวัติศาสตร์ สหรัฐฯ มีประสบการณ์ด้านคาสิโนมายาวนาน แต่การอนุญาตคาสิโนถูกกฎหมายจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ บางรัฐเช่น เนวาดาเปิดเสรีคาสิโนมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 ขณะที่รัฐอื่นๆ เช่น นิวเจอร์ซีย์ คอนเน็กติกัต ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะอนุญาตคาสิโนในรูปแบบสถานบันเทิงครบวงจร

ส่วนแรงต่อต้านในรัฐที่ไม่อนุญาตคาสิโน ส่วนใหญ่เกิดจากแรงกดดันของกลุ่มศาสนาและชุมชนที่กังวลเรื่องปัญหาการติดพนัน อาชญากรรม และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การสำรวจในรัฐหลายแห่งพบว่า ประชาชนมีความกังวลในระดับสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและชุมชนเล็กๆ ที่มีความเหนียวแน่นทางสังคม เช่น ในแมสซาชูเซตส์ การเปิด Encore Boston Harbor ต้องผ่านประชามติท้องถิ่นและการประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมหลายรอบ

และจากผลสำรวจของ Gallup (2020) คนอเมริกันประมาณ 35% ไม่เห็นด้วยกับการขยายคาสิโน แม้จะมีข้อดีทางเศรษฐกิจชัดเจนก็ตาม

ผลลัพธ์คือ หลายรัฐที่อนุญาตคาสิโน เช่น นิวเจอร์ซีย์ มีการกำหนดกฎหมายควบคุมที่เข้มงวด และพัฒนาสถานบันเทิงครบวงจรที่รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวและงานประชุม ในขณะที่รัฐบางแห่ง เช่น นอร์ทแคโรไลนา ยังไม่อนุญาตคาสิโน เนื่องจากการต่อต้านของประชาชนและสภานิติบัญญัติ

'เกาหลีใต้' IR สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น

แม้จะมีคาสิโนกว่า 17 แห่งในประเทศ เกาหลีใต้จำกัดให้คนในประเทศสามารถเข้าเล่นได้แค่เพียงแห่งเดียวคือ Kangwon Land ส่วนคาสิโนอื่นเปิดเฉพาะชาวต่างชาติ เนื่องจากรัฐบาลกังวลเรื่องการติดพนันในกลุ่มประชากรในประเทศ การผลักดัน IR เช่นใน อินชอน ใช้เวลาเกือบ 10 ปี ทั้งจากข้อจำกัดทางกฎหมาย การประท้วงของชาวบ้าน และแรงกดดันจากกลุ่มศาสนา แม้จะเปิดได้ในที่สุด แต่ต้องมีมาตรการคุมเข้มด้านภาษี สุขภาพจิต และอาชญากรรม

บทเรียนจากแรงต้าน ทางเลือกที่ยั่งยืนต้องฟังเสียงประชาชน

บทเรียนจากประเทศเหล่านี้สะท้อนว่า 'ความสำเร็จของ IR หรือ Entertainment Complex ไม่ได้อยู่ที่แค่ตัวอาคารสถานที่ แต่เริ่มต้นที่ความเข้าใจและยอมรับจากสังคม' การมีมาตรการคุมเข้ม การออกแบบพื้นที่ที่ปลอดภัย การจำกัดการเข้าถึงของคนในประเทศ และการคืนผลประโยชน์สู่ชุมชน ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้หลายประเทศสามารถแปลงเสียงคัดค้านให้กลายเป็นโมเดลแห่งความสำเร็จได้