รับมือฝนปลายปี เขื่อนสิริกิติ์ระบายน้ำเพิ่ม ไม่กระทบท้ายเขื่อน

รับมือฝนปลายปี เขื่อนสิริกิติ์ระบายน้ำเพิ่ม ไม่กระทบท้ายเขื่อน

สทนช. แจ้งแผนบริหารจัดการน้ำเชิงรุก เตรียมเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ 1-15 ส.ค. นี้ มั่นใจไม่กระทบพื้นที่ท้ายเขื่อน พร้อมรับมือสถานการณ์ฝนหนักช่วงปลายปี

วันนี้ (30 ก.ค. 68) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 10/2568 ว่า จากอิทธิพลของ "พายุวิภา" ส่งผลให้หลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะในลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จึงได้มอบหมายให้เร่งหารือแนวทางระบายน้ำเพื่อป้องกันความเสียหายต่อพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดสุโขทัย
 

ปัจจุบัน สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำยมเริ่มคลี่คลายลงแล้ว แต่ยังคงมีน้ำล้นตลิ่งบริเวณอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน มวลน้ำจากจังหวัดน่านจะไหลเข้าสู่เขื่อนสิริกิติ์และกักเก็บไว้ทั้งหมด ทำให้พื้นที่ท้ายเขื่อนไม่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากก่อนหน้านี้เขื่อนสิริกิติ์ ได้ลดการระบายน้ำเหลือเพียง 10 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เพื่อรักษาระดับน้ำในแม่น้ำน่านให้ต่ำกว่าระดับน้ำยม ซึ่งช่วยเร่งระบายน้ำในลุ่มน้ำยมได้ดี ส่งผลให้ปัจจุบันเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำมากถึง 70% ของความจุเก็บกัก เหลือพื้นที่รองรับน้ำได้อีกเพียงประมาณ 2,000 ล้าน ลบ.ม. เท่านั้น ซึ่งอาจมีความเสี่ยงน้ำล้นหากมีพายุจรพัดผ่านในช่วงฤดูฝนที่เหลืออยู่

ที่ประชุมจึงได้วางแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์เป็น 40 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคมนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีแนวโน้มฝนลดลง การปรับเพิ่มการระบายน้ำนี้จะช่วยให้สามารถลดการระบายน้ำจากเขื่อนได้ในช่วงต้นเดือนกันยายน ซึ่งคาดว่าจะมีฝนตกหนักในภาคกลางและน้ำทะเลหนุนสูง อาจส่งผลให้พื้นที่ท้ายเขื่อนมีระดับน้ำเพิ่มขึ้น
 

เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำว่า การระบายน้ำเพิ่มขึ้นของเขื่อนสิริกิติ์ในช่วง 2 สัปดาห์นี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในลุ่มน้ำยม-น่าน และพื้นที่ท้ายเขื่อน อาทิ จังหวัดอุตรดิตถ์ พิจิตร และพิษณุโลก ทั้งนี้ ได้กำชับให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการระบายน้ำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณท้ายเขื่อนทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความตื่นตระหนก

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามและประเมินสถานการณ์ฝนเป็นรายวัน หากมีฝนตกในพื้นที่เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ จะปรับลดอัตราการระบายน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมถึงต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านสถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อควบคุมการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไม่ให้เกิน 1,500 ลบ.ม. ต่อวินาที สทนช. จะประเมินสถานการณ์เขื่อนต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพื้นที่ว่างรองรับฝนตกในช่วงหลังจากนี้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ