รับมือฝนระลอกใหม่ กรมชลฯ เปิดแผนใช้ทุ่งบางระกำ หน่วงน้ำก่อนท่วม

รับมือฝนระลอกใหม่ กรมชลฯ เปิดแผนใช้ทุ่งบางระกำ หน่วงน้ำก่อนท่วม

กรมชลประทาน เตรียมพร้อมรับมือฝนระลอกใหม่ สั่งทุกพื้นที่จัดเครื่องจักร-กำลังคน 24 ชม. พร้อมเปิด "ทุ่งบางระกำ" เป็นแก้มลิงธรรมชาติ หน่วงน้ำก่อนไหลบ่าเข้าพื้นที่สำคัญ

วันนี้ (29 ก.ค. 68) กรมชลประทาน ได้สั่งการให้ทุกพื้นที่เตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักรและกำลังคนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือสถานการณ์ฝนที่จะเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคมนี้ โดยเน้นย้ำให้ปฏิบัติตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งเร่งตรวจสอบอาคารชลศาสตร์ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ และเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที

นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ณ ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำและแม่น้ำสายหลักทั่วประเทศ
 

สถานการณ์น้ำปัจจุบันและแนวโน้ม

จากการรายงานสถานการณ์น้ำล่าสุด (29 ก.ค. 68) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีปริมาณน้ำรวมประมาณ 48,332 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 63% ของความจุอ่างฯ โดยสามารถรับน้ำได้อีก 28,171 ล้านลูกบาศก์เมตร

สำหรับ 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวม 15,940 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 64% ของความจุอ่างฯ และยังสามารถรับน้ำได้อีก 8,931 ล้านลูกบาศก์เมตร

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 30 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2568 ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและภาคตะวันออก เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังอ่อนลง อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนจะเพิ่มสูงขึ้นอีกระลอกหลังจากนั้น
 

การเตรียมความพร้อมและมาตรการรับมือ

กรมชลประทานได้เตรียมใช้ "ทุ่งบางระกำ" เป็นพื้นที่หน่วงน้ำธรรมชาติ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมใช้งานเต็มที่ภายหลังการเก็บเกี่ยวในช่วงกลางเดือนสิงหาคม และได้ขอความร่วมมือเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วไม่ให้ทำการเพาะปลูกซ้ำ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผลผลิต

นอกจากนี้ ยังได้กำชับไปยังโครงการชลประทานทุกแห่งให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด นำข้อมูลมาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ และพิจารณาปรับการระบายน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน

มาตรการสำคัญที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ได้แก่ 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบอาคารชลศาสตร์ให้พร้อมใช้งาน การกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักร เครื่องมือ และเจ้าหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสามารถเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามข้อสั่งการของนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด