จับตาสถานการณ์น้ำ ภาคเหนือตอนบน เสี่ยงน้ำหลาก อิทธิพล 'พายุวิภา'

จับตาสถานการณ์น้ำ ภาคเหนือตอนบน เสี่ยงน้ำหลาก อิทธิพล 'พายุวิภา'

กรมชลประทาน เฝ้าระวังสถานการณ์ฝนตกหนักในภาคเหนือตอนบน จากอิทธิพล "พายุโซนร้อนวิภา" พร้อมเตรียมบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุม ลดผลกระทบในพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก

ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน กำลังติดตาม สถานการณ์น้ำ อย่างใกล้ชิดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก พายุโซนร้อนวิภา และร่องมรสุม ทำให้มีฝนตกต่อเนื่อง โดยเฉพาะระหว่างวันที่ 27-29 กรกฎาคม 2568 กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย พะเยา และน่าน

สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ

ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีปริมาณน้ำรวมอยู่ที่ 62% ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกมาก โดยเฉพาะ เขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งรองรับมวลน้ำจากภาคเหนือ มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 6,883 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 72% ของความจุ ยังสามารถรับน้ำได้อีก 2,627 ล้านลูกบาศก์เมตร

จับตาสถานการณ์น้ำ ภาคเหนือตอนบน เสี่ยงน้ำหลาก อิทธิพล 'พายุวิภา'
 

เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์น้ำหลากในพื้นที่ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่านตอนล่าง และลุ่มน้ำเจ้าพระยา เขื่อนสิริกิติ์ได้ปรับลดการระบายน้ำจากวันละ 15 ล้านลูกบาศก์เมตร เหลือวันละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ตั้งแต่วันที่ 26-30 กรกฎาคม 2568

ทั้งนี้ กรมชลประทาน วางแผนที่จะปรับเพิ่มการระบายน้ำอีกครั้งในช่วงต้นเดือนสิงหาคม เมื่อปริมาณฝนลดลง เพื่อเตรียมพื้นที่รองรับปริมาณน้ำฝนรอบใหม่ที่คาดว่าจะมาถึงในเดือนกันยายน

จับตาสถานการณ์น้ำ ภาคเหนือตอนบน เสี่ยงน้ำหลาก อิทธิพล 'พายุวิภา'

การเตรียมความพร้อมและการบูรณาการความร่วมมือ

กรมชลประทาน ทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รวมถึงการติดตามข้อมูลปริมาณฝนจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เพื่อวางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุม ไม่ให้กระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ นอกจากนี้ ยังได้เตรียมเครื่องจักรและเครื่องมือเพื่อสนับสนุนการเร่งระบายน้ำ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด