พระ โยมและธรรมาภิบาลวัด | Now and Beyond

เรื่องฉาวในวงการสงฆ์ออกมารัวๆ และยังจะมีออกมาอีกมาก ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ตั้งแต่พัวพันเงินทอนวัด อมเงินทำบุญ ข้องแวะสีกา วิ่งเต้นตำแหน่งและอีกสารพัด

คนไทยอยู่ในสภาพทนกับความฉาวในวงการสงฆ์มาอย่างเนิ่นนาน ชวนตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดปัญหาจึงหมักหมมได้ขนาดนี้ จะไม่มีทางออกเลยหรืออย่างไร เหตุผลหลายประการที่วงการนี้มีความแปดเปื้อนมากขึ้นทุกขณะไม่เว้นแม้แต่กับสงฆ์ที่แก่พรรษามีสมณศักดิ์สูง สรุปเหตุผลหลักกันเป็นข้อๆ ดังนี้

1.วัดในเมืองไทยมีมากเกินไป จำนวนมากกว่า 40,000 แห่งและจะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ตรงข้ามกับโรงเรียนที่มีจำนวนลดลงเรื่อยๆ เพราะเด็กเกิดน้อยลง จำนวนวัดที่เพิ่มขึ้นถึงไม่บอกก็คงเดาได้ว่ามาจากเหตุใดข่าวฉาวที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คงบอกได้ดี เมื่อจำนวนวัดมีมากขนาดนี้ การดูแลให้ทั่วถึงและกำกับให้กิจการและพฤติกรรมของสงฆ์ในแต่ละวัดเป็นไปอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัยจึงทำได้ยากมาก 

2.องค์กรสงฆ์ที่ปกครองดูแลสงฆ์นั้นอ่อนล้า ไม่ทันยุค และไม่ทั่วถึงในการกำกับดูแล ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนวัดที่มากมายดังกล่าวแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือคนเข้ามาเป็นพระที่นับวันก็จะมาด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่จะแสวงหารสพระธรรม อาศัยผ้าเหลืองเป็นเครื่องคุ้มกันตัวเอง องค์กรปกครองสงฆ์จึงไม่เท่าทันทั้งพฤติกรรมและเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการทำผิด สงฆ์เองก็มีความเกรงอกเกรงใจด้วยอาวุโสที่นับกันเป็นชั้นยศ 

การปกครองในวัดจึงหลงหูหลงตาขาดการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ การแข่งขันวิ่งเต้นเอาสัญญาบัตรพัดยศเป็นไปอย่างเอิกเกริกจากการเลื่อนสมณศักดิ์ด้วย KPI ที่ดูไม่สมเหตุผล บางวัดเจ้าอาวาสกับพระลูกวัดไม่ลงรอยกัน ปกครองกันไม่ได้ก็มี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ทำหน้าที่เป็นเพียงเลขานุการของมหาเถรสมาคมนั้น ไม่มีอำนาจจะไปกำกับให้คุณให้โทษอะไรกับวัดได้ จึงทำหน้าที่แค่งานธุรการที่ไม่สร้างคุณค่าใดๆ

3.การบวชในประเทศไทยนั้นง่ายดายจนเกินไป ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี คนจะยิ่งบวชมากขึ้น คนดีมีความรู้ความสามารถน้อยนักที่จะมาบวชกันจนชั่วชีวิต ในที่สุดพระส่วนใหญ่จะเป็นแต่คนที่ไม่มีที่ไป คนป่วย และคนจ้องหาโอกาส เพราะไม่มีอะไรสุขสบายเท่ากับการอยู่ในผ้าเหลือง ยิ่งบวชนานตำแหน่งใหญ่โตยิ่งแบ่งชนชั้น ฉันหรูอยู่สบาย จากนี้ต่อไปควรทำให้การบวชเป็นเรื่องยากมากๆ ผ่านการฝึกฝนหรือทดสอบ มีผู้รับรอง และต้องเตรียมตัวยาวนานก่อนจะบวชได้ 

การมีพระที่ไร้คุณสมบัติจำนวนมากไม่เพียงเพิ่มความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แต่สถาปัตยกรรม จิตรกรรม และประติมากรรมที่มีค่าในวัดจะไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดีและจะย่อยยับลงไปในอนาคต

4.ผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholders) ขาดความใส่ใจในการมีส่วนร่วมตรวจสอบวงการสงฆ์ เพราะถือคติโบราณ “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” สงฆ์เป็นของต้องห้ามไม่ควรแตะต้องวิพากษ์วิจารณ์เพราะ “นรกจะกินหัว” วงการนี้จึงขาดการตรวจสอบควบคุม โยมทั้งหลายไม่เพียงไม่ตรวจสอบกลับมีส่วนอย่างยิ่งที่นำความเสื่อมมาสู่วงการสงฆ์จากความมักง่าย ตั้งแต่การเอาเงินใส่บาตรแทนอาหาร ถวายอามิสหรูหราราคาแพงให้พระ เป็นต้น

พระจึงถือมือถือกันว่อนทุกวัด บรรดาโยมเข้าวัดก็ด้วยเจตนาหวังโชคลาภร่ำรวย พระก็สนองด้วยวัตถุมงคล ทายดวงดูหมอ สร้างรูปเคารพแปลกๆ ประเพณีทั้งหลายล้วนผิดเพี้ยน ทอดกฐินกันทีก็ประชันกันด้วยจำนวนเงิน รัฐวิสาหกิจ หน่วยราชการโดนสั่งทำเป้าหาเงินทอดกฐิน โยมบวชกันทีก็มีทั้งทำขวัญนาค รถแห่ บันเทิงกันเต็มที่แลกกับการบวชไม่กี่วัน 

ในขณะที่พระพุทธเจ้าสอนว่างานบวชงานกฐินเป็นเรื่องของพระ ไม่เกี่ยวกับโยม กฐินเป็นกิจกรรมที่มุ่งให้พระสามัคคี ส่วนใครใคร่บวชก็แค่บอกพ่อแม่แล้วเดินไปวัดเท่านั้นพอ การบวชเป็นเรื่องของวัดของสงฆ์ แต่วันนี้กิจกรรมเหล่านี้เพี้ยนกันไปหมด โยมอยากเด่น พระอยากได้ปัจจัย ยิ่งให้พระจับเงินมากเท่าไร ปัญหาจะไม่มีวันจบ อยากเห็นพระดี โยมต้องเปลี่ยนด้วย

5.ขาดธรรมาภิบาลวัด มีวัดจำนวนน้อยมากจากกว่า 40,000 วัดที่ทำบัญชีตามมาตรฐานและมีผู้สอบบัญชี แม้มีข้อกำหนดให้ทำ วัดไม่ต้องเสียภาษีทั้งที่มีรายได้มหาศาล บัญชีที่ส่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนานั้นมีความถูกต้องเพียงใดหรือแค่เก็บๆ ไว้เป็นขยะข้อมูลเท่านั้น เมื่อวัดขาดระบบการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส ข้าวของมากมายถูกเบียดบังไปอยู่ที่ไหนบ้างใครจะรู้

เมื่อบริษัทต่างๆ ยังต้องมีธรรมาภิบาลเพื่อป้องกันการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง การทุจริตคอร์รัปชัน สร้างความรับผิดชอบต่อสังคม แล้วเหตุใดวัดที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากมายและมีผลประโยชน์หลากหลายรูปแบบ จะไม่ถูกตรวจสอบความโปร่งใสและตั้งอยู่ในหลักธรรมาภิบาลด้วยเล่า

เมื่อบ้านแตกสาแหรกขาดหลังเสียกรุงศรีอยุธยา สงฆ์ขาดการควบคุมไม่อยู่ในพระธรรมวินัยเต็มไปด้วยอลัชชีเดียรถีย์ แม้ผ่านมาจนรัชกาลที่ 3 ในราชวงศ์จักรีสงฆ์ก็ยังวิปริต พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งอยู่ในสมณเพศเห็นว่าสุดจะแก้ไขเยียวยาได้

จึงต้องหาทางออกด้วยการตั้งสงฆ์ขึ้นมาอีกนิกายคือ นิกายธรรมยุต ถือเป็นการปฏิรูปสงฆ์ครั้งสำคัญ สะท้อนการแก้ปัญหาในวงการสงฆ์ตั้งแต่โบราณว่ายากและสลับซับซ้อนเพียงใด ยิ่งปัจจุบันยิ่งซับซ้อนขึ้นกว่าหลายเท่า

ข่าวฉาวเกี่ยวกับพระมาแล้วจะค่อยๆ เงียบไป วัดหลายแห่งยังอยู่บนกองเงินกองทองและการปฏิบัติที่หมิ่นเหม่พระธรรมวินัยกันต่อไปเพื่อรอให้มีข่าวใหญ่ประทุขึ้นมาอีก วนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป

เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่หวังว่าอะไรจะดีขึ้นหากสงฆ์และโยมยังเป็นเช่นนี้ ประเทศนี้ปฏิรูปการเมืองไม่ได้ ปฏิรูปสงฆ์ยังไม่เห็นทาง จึงต้องทำใจแล้วปลงให้ตก