น้ำโขงวิกฤต! ผุดศูนย์น้ำส่วนหน้าฯ รับมือล้นตลิ่ง ทะลักภาคอีสาน

น้ำโขงวิกฤต! ผุดศูนย์น้ำส่วนหน้าฯ รับมือล้นตลิ่ง ทะลักภาคอีสาน

"ประเสริฐ" เปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าฯ ที่หนองคาย เร่งประสาน สปป.ลาว หวังลดผลกระทบน้ำโขงล้นตลิ่งปลายกรกฎาคมนี้ ยกระดับรับมือน้ำท่วมภาคอีสาน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่จังหวัดหนองคาย เป็นประธานการประชุมเปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 1/2568 พร้อมสั่งการทุกหน่วยงานบูรณาการข้อมูลและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำโขงอย่างใกล้ชิด หลังพบระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นและคาดว่าจะล้นตลิ่งช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคมนี้

การลงพื้นที่ครั้งนี้มี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สทนช. ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย รวมถึงผู้แทนจากจังหวัดสกลนคร มุกดาหาร นครพนม บึงกาฬ เลย อุดรธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดหนองคาย ก่อนจะลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำบริเวณพระธาตุหล้าหนอง ชุมชนจอมมณี อ.เมืองหนองคาย และจุดประปาเทศบาลเมืองท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ ที่ประสบปัญหาน้ำอุปโภคบริโภค พร้อมพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนเพื่อรับทราบสภาพความเป็นอยู่และการเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัย

นายประเสริฐ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนมาระยะหนึ่ง และช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกสะสมใน สปป.ลาว ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เริ่มกระทบหลายพื้นที่ของไทย และมีโอกาสที่ระดับน้ำจะล้นตลิ่งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคมนี้ รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนริมแม่น้ำโขงที่อาจได้รับผลกระทบ จึงได้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และร่วมกำกับการจัดตั้ง ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการประสานงานและบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงาน เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการวางแนวทางการบรรเทาและควบคุมสถานการณ์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด โดยมีเป้าหมายป้องกันและลดผลกระทบจากน้ำท่วมต่อประชาชนให้มากที่สุด

ในการประชุมวันนี้ เป็นการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าแต่ละจังหวัดมีการเตรียมความพร้อมอย่างเข้มแข็ง ทั้งการจัดทำข้อมูลคาดการณ์ การชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การวางแผนปรับเกณฑ์บริหารจัดการน้ำและอ่างเก็บน้ำตามสถานการณ์ การเตรียมความพร้อมอาคารชลศาสตร์ โทรมาตร เครื่องจักรเครื่องมือต่าง ๆ การตรวจสอบความแข็งแรงปลอดภัยของคันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำและเขื่อน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพทางระบายน้ำ

รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลผ่านศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าฯ เฝ้าระวังและเผยแพร่สถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลในการประสานงานร่วมกับ สปป.ลาว ให้ สทนช. กรมทรัพยากรน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนที่ภูมิประเทศความละเอียดสูง เพื่อนำไปประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำล้นตลิ่งและใช้วางแผนเตรียมความพร้อมเชิงรุก ให้จังหวัด กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งกำจัดและแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ สำหรับการเตือนภัย ให้จังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมประชาสัมพันธ์ ใช้ระบบแจ้งเตือนภัย เช่น Cell Broadcast (CB) ควบคู่กับช่องทางอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันสถานการณ์ นอกจากนี้ จังหวัดต้องร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมความพร้อมเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที โดยเตรียมพร้อมด้านทรัพยากร เช่น เรือท้องแบน เครื่องสูบน้ำ และชุดปฐมพยาบาล รวมถึงกำหนดจุดศูนย์พักพิงชั่วคราวในกรณีต้องมีการอพยพประชาชนด้วย

ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สถานการณ์น้ำพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือโดยรวม พบว่าอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก รวม 10,634 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 1,170.43 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 62% ของความจุเก็บกัก ซึ่งมากกว่าปี 2567 จากการคาดการณ์ปริมาณฝน ONE MAP โดยกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พบว่าช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน มีแนวโน้มปริมาณฝนตกสะสมจำนวนมาก ประกอบกับสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) คาดการณ์ว่าช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ระดับน้ำในแม่น้ำโขงจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องและล้นตลิ่งทั้งในพื้นที่ประเทศไทย (บริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร) สปป.ลาว รวมถึงบางพื้นที่ของกัมพูชา

ในด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ สทนช. ได้เข้าร่วมการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานงานด้านอุทกภัยและโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ (Ad Hoc Task Team for Joint Flood and Hydropower Coordination) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ร่วมกับ MRCS และ สปป.ลาว โดยได้กำหนดการดำเนินงานความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและ สปป.ลาว ในการแบ่งปันข้อมูลการบริหารจัดการเขื่อน โดยเฉพาะแผนระบายน้ำจากเขื่อนต่าง ๆ เพื่อจำลองแนวทางเร่งพร่องน้ำและชะลอเก็บกักน้ำ เพื่อลดผลกระทบจากน้ำท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก และได้เห็นชอบแนวทางความร่วมมือต่าง ๆ ที่จะดำเนินการต่อไป ได้แก่ การจัดประชุมระดับประเทศเพื่อพัฒนาฐานข้อมูลร่วมด้านอุทกวิทยาและเขื่อน การเสริมสร้างศักยภาพด้านการวิเคราะห์ความเสี่ยงอุทกภัย และการจัดทำร่างแผนความร่วมมือบริหารจัดการการระบายน้ำจากเขื่อน โดยใช้ข้อมูลฝนคาดการณ์ร่วมกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ real-time

เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนี้ เพื่อบูรณาการข้อมูลสถานการณ์น้ำให้ครอบคลุมทั้งในระดับพื้นที่ ระดับประเทศ และระหว่างประเทศ โดยภายในประเทศ สทนช. จะทำหน้าที่ประสานและอำนวยการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขสถานการณ์น้ำหลากและอุทกภัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ขณะเดียวกัน ในด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้ดำเนินการผ่านกลไกของสำนักเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงและ สปป.ลาว เพื่อให้ศูนย์บริหารจัดการน้ำฯ มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจ

ตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและลดความเสียหายจากอุทกภัยให้ได้มากที่สุด รัฐบาลขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงานอย่างจริงจังและบูรณาการร่วมกัน เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด