'เรนบอมบ์' ถล่มกรุงถี่ยิบ สำนักระบายน้ำ เปิดแผนสู้ น้ำท่วมไม่นาน

"เรนบอมบ์" ถล่มกรุงเทพฯ เดือน พ.ค. เจอ 4 รอบ! ผอ.สำนักการระบายน้ำ กทม. ยืนยันระบบรับมือได้ เผยแผนสู้ระบายน้ำไม่ให้นานเกิน 3 ชั่วโมง พร้อมรับมือฝนหนักสุด ก.ค.-ก.ย. นี้
กรุงเทพมหานคร ยังคงต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ "ระเบิดฝน" (Rain Bomb) หรือ ฝนตกหนักในระยะเวลาอันสั้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่ง สำนักการระบายน้ำ (สนย.) กทม. ต้องรับมือกับฝนตกหนักกว่า 100 มิลลิเมตร ถึง 4 รอบ แม้ เจษฎา จันทรประภา ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ จะยืนยันว่าระบบระบายน้ำยังรับมือได้ แต่ก็ยอมรับว่าบางจุดอาจเกิดภาวะ "น้ำรอระบาย" ก่อนที่จะคลี่คลายได้ในที่สุด
นายเจษฎา จันทรประภา อธิบายว่า ระบบระบายน้ำของ กทม. สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนได้ดี หากฝนตกไม่หนักแต่ตกนาน แต่หากเกิด "ระเบิดฝน" ที่ตกลงมาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว อาจทำให้เกิดน้ำรอระบายได้ เนื่องจากระบบสูบน้ำมีข้อจำกัด แม้จะมีการเพิ่มกำลังสูบก็ตาม
"มีวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ฝนตกหนักลงมา 15 นาที ประมาณ 48 มิลลิเมตร ถ้ารวม 1 ชั่วโมง ก็เกือบ 200 มิลลิเมตร ซึ่งมีความรุนแรงสูงมาก มันก็จะเกิดน้ำท่วมก่อน แล้วก็ต้องรอระบาย แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ" นายเจษฎา กล่าว พร้อมระบุว่า สนย. ได้ใช้ระบบการพร่องน้ำโดยลดระดับน้ำในคลองสายหลักให้ต่ำ และใช้ระบบสูบน้ำจากอุโมงค์ขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้สามารถคลี่คลายสถานการณ์น้ำท่วมจากฝนตกหนักในเดือนพฤษภาคมได้ภายใน 3 ชั่วโมง แม้จะมีบางจุดที่น้ำยังค้างอยู่บ้าง
เตรียมรับมือฝนหนักสุด ก.ค.-ก.ย. พร้อมอัปเกรดระบบด้วยเทคโนโลยีและผังน้ำ
ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำเผยว่า กทม. มี ผังน้ำ ที่ช่วยให้สามารถระบายน้ำออกได้หลายทิศทางเมื่อเกิดระเบิดฝนกระจุกตัวในจุดใดจุดหนึ่ง อีกทั้งนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยังได้แนะนำให้นำเทคโนโลยีมาใช้หลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการ เส้นเลือดฝอย ซึ่งเป็นจุดที่ท่านให้ความสำคัญเป็นพิเศษตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่ฝนตกหนักที่สุดเท่าที่เคยมีการเก็บสถิติมา
"เรามีข้อมูลหมดเลยว่าจุดไหนเกิดปัญหา แล้วแต่ละจุดเราจะแก้อย่างไร ซึ่งเราก็ต้องประสานงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งจะมีแผนระยะสั้น กลาง และยาว รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น ทำ แก้มลิง อุโมงค์ขนาดใหญ่ ทำให้ระบบท่อระบายน้ำได้เร็วขึ้น รวมถึงท่อระบายน้ำแบบ โอ กัตเตอร์ (O Gutter) ที่ท่านวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ แนะนำมา ซึ่งใช้รับน้ำอยู่ในแถวอุดมสุข" นายเจษฎา ชี้
นอกจากนี้ กทม. ยังมีระบบ NowCast ที่ร่วมมือกับ WeatherNews ซึ่งสามารถพยากรณ์ฝนทุก 3 ชั่วโมงได้อย่างแม่นยำ ทำให้ทราบว่าพื้นที่ใดจะมีฝนเข้ามาหรือออกไปเมื่อใด โดยขณะนี้กำลังติดตั้งเรดาร์ตัวที่ 3 ซึ่งจะช่วยให้การพยากรณ์แม่นยำยิ่งขึ้น
ถกเกณฑ์แจ้งเตือน "เซลล์ บรอดคาสต์" ประสาน JICA พัฒนาแผนแม่บทรับมือภัยพิบัติ
ในส่วนของระบบแจ้งเตือนประชาชนผ่าน เซลล์ บรอดคาสต์ (Cell Broadcast) นายเจษฎาระบุว่าอยู่ระหว่างการประชุมหารือถึงระดับความรุนแรงของฝนที่เหมาะสมในการแจ้งเตือน เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกมากเกินไป
"ถ้าฝนระดับ 100 มิลลิเมตร ตกชั่วระยะก็แห้ง ผมคิดว่าเราก็อาจจะแจ้งเพื่อทราบเฉยๆ ดีไหม เนื่องจากอาจจะสร้างความตื่นตระหนกได้ หรือเราแจ้งในระดับที่จะเกิดอุทกภัยได้ไหม เช่น น้ำท่วมปี 2554 ที่จะมีมวลน้ำระดับมหาศาลเข้ามา ก็จะเหมาะสม แต่ถ้าเป็นระดับเรนบอมบ์ เราก็ยังสามารถที่จะคลี่คลายปัญหาได้ ซึ่งตรงนี้เราต้องร่วมประชุมกันหลายหน่วยงานก่อน" นายเจษฎา เปิดเผย
นายเจษฎาเห็นด้วยกับการแจ้งเตือนประชาชนเพื่อให้ทราบข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่และเส้นทางที่จะขับรถผ่าน แต่ช่องทางการแจ้งเตือนยังคงต้องหารือกันต่อไป
ที่สำคัญคือ กรุงเทพมหานครได้ร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการรับมือภัยพิบัติ โดยล่าสุดองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) จะให้การสนับสนุนในการปรับปรุงแผนแม่บทใหม่
"ระบบเราออกแบบมานานแล้ว โดยรับมือฝนได้ที่ 60 มิลลิเมตร แม้ปัจจุบันเราจะอัปเดตระบบด้วยความสามารถของเจ้าหน้าที่ของเรา เพิ่มระบบให้มันรับมือ 80-100 มิลลิเมตรขึ้นมา แต่ว่า JICA เขาก็จะช่วยวิเคราะห์ภาพรวมและให้คำแนะนำดีๆ ว่าเราจะอัปเกรดไปได้ขนาดไหน เท่าไหร่จึงจะพอ รับมือได้ที่ 140 มิลลิเมตรพอไหม หรือแค่ 100 มิลลิเมตรก็พอ หรือต้องเพิ่มระบบอะไรขึ้นมาอีก" นายเจษฎา กล่าวและเสริมว่า การดำเนินการนี้คาดว่าจะเริ่มได้ในปีหน้า โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU)
นายเจษฎา ทิ้งท้ายว่า โดยรวมแล้วการรับมือกับระเบิดฝนในช่วงที่ผ่านมาถือว่าทำได้ดี สามารถคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติได้โดยไม่ข้ามคืน น้ำลดเร็ว และไม่มีน้ำท่วมขัง อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน จะเป็นช่วงที่ฝนตกหนักที่สุด สนย. จึงเตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่







