ผลวิจัยชี้ชัด!! เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม แนวคิดสร้างกลไกป้องปรามคอร์รัปชันได้จริง

ผลวิจัยชี้ชัด!! เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม แนวคิดสร้างกลไกป้องปรามคอร์รัปชันได้จริง

ปัญหาคอร์รัปชันนับเป็นปัญหาเชิงสังคมและเศรษฐกิจ ที่หยั่งรากลึกในสังคมไทยมายาวนาน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ระบุมูลค่าการคอร์รัปชันในประเทศไทยสูงถึง 5 แสนล้านบาทต่อปี

คะแนน Corruption Perception Index (CPI) ซึ่งคือดัชนีที่ใช้วัดปัญหาคอร์รัปชันในแต่ละประเทศชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา ประเทศไทยไม่เคยได้คะแนนสูงกว่า 38 จาก 100 คะแนน

โดยในปี 2567 ผลการสำรวจระบุว่าคะแนนของประเทศไทยอยู่ที่ 34 จาก 100 ลดลง 2 ปีติดต่อกัน และประเทศไทยอยู่อันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศ 

หากจะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันได้ ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือต้องเข้าใจถึงปัจจัยที่นำไปสู่การตัดสินใจทำการคอร์รัปชัน

ผลวิจัยชี้ชัด!! เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม แนวคิดสร้างกลไกป้องปรามคอร์รัปชันได้จริง เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม คือ ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจและพฤติกรรมทางเศรษฐศาสตร์ของมนุษย์ โดยนำเอาหลักจิตวิทยามาประยุกต์เพื่ออธิบายว่าทำไมคนถึงตัดสินใจในบริบทต่าง ๆ ที่มีการตอบสนองต่อแรงกระตุ้นแต่อาจไม่สมเหตุสมผลเสมอไป 

นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมพยายามเข้าใจพฤติกรรมคอร์รัปชัน และพยายามพัฒนาการออกแบบกลไก เพื่อป้องปรามการคอร์รัปชัน

เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมช่วยให้เราเข้าใจแรงจูงใจและปัจจัยที่ทำให้คนตัดสินใจทำการคอร์รัปชัน เช่น แรงจูงใจจากการได้รับผลประโยชน์ส่วนตัว แรงกดดันทางสังคม หรือการขาดความกลัวในการรับโทษ ซึ่งช่วยให้สามารถออกแบบมาตรการป้องกันที่เหมาะสมได้

ผลการวิจัยล่าสุดในปี 2567 จากการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) อาศัยทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เพื่อทดสอบกลไกการป้องปรามการการคอร์รัปชัน ระหว่างการเพิ่มโอกาสการจับการกระทำผิดและการเพิ่มระยะเวลาการการตรวจสอบการกระทำผิด

ซึ่งทั้ง 2 มาตรการเป็นการใช้แรงจูงใจ ทำให้คนตระหนักรับรู้ความกลัวในการรับโทษมากขึ้น และลดโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวลง โดยผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่ากลไกทั้ง 2 สามารถป้องปรามพฤติกรรมคอร์รัปชันได้อย่างมีนัยสำคัญ

แล้วกลไกใดจะสามารถช่วยลดพฤติกรรมคอร์รัปชันได้มากกว่ากัน?? ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการเพิ่มโอกาสในการจับการกระทำผิดด้านคอร์รัปชันเพิ่มขึ้น 5% จะทำให้การเกิดคอร์รัปชันลดลงกว่า 30% 

ในขณะที่การขยายระยะเวลาการตรวจสอบทำให้ผู้มีแนวโน้มก่อคอร์รัปชันลดลงเรื่อย ๆ อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเวลาผ่านไป 

จากการทดลอง เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง พบว่ากลุ่มตัวอย่างแทบไม่ก่อการคอร์รัปชันเลย

จะเห็นว่าทั้ง 2 มาตรการ สามารถที่จะลดหรือป้องปรามการเกิดคอร์รัปชันได้ แม้ว่าผลในการปฏิบัติจริงอาจเห็นไม่ได้ชัดดังเช่นในห้องทดลอง แต่ถ้าการคอร์รัปชันลดลงเพียงแค่ 10%

นั่นคือมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลมูลค่าการคอร์รัปชันในประเทศไทยราว 5 แสนล้านบาทต่อปี จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน) ซึ่งเทียบเท่ากับการเลื้ยงอาหารกลางวันเด็กมัธยมต้น (ม.1-ม.3) ได้มากกว่า 11.3 ล้านคน

ดังนั้น หากประยุกต์ใช้ทั้ง 2 มาตรการอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถทำให้ปัญหาการคอร์รัปชันในประเทศไทยเบาบางลง และจะส่งให้ประเทศมีทรัพยากรมากขึ้นในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต่อไปในอนาคต

โดยสรุป จากผลงานวิจัยข้างต้น หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางทั้งสองมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบ โดยการเพิ่มโอกาสการตรวจสอบและจับกุม เอาโทษผู้กระทำผิดได้จริง พร้อมทั้งขยายระยะเวลาการติดตามพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการทุจริต ก็จะช่วยสร้างแรงจูงใจเชิงลบ

ทำให้ผู้ที่มีแนวโน้มจะก่อคอร์รัปชันตระหนักถึงความเสี่ยงในการถูกตรวจจับมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการลดแรงจูงใจในการทุจริตได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ยังควรมีการสนับสนุนให้ประชาชนมีบทบาทในการตรวจสอบเพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสในสังคม

หากนโยบายเหล่านี้ถูกนำไปปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยจะมีโอกาสลดลงอย่างชัดเจนในระยะยาว อันเป็นปัจจัยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยต่อไป... 

ผลวิจัยชี้ชัด!! เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม แนวคิดสร้างกลไกป้องปรามคอร์รัปชันได้จริง

ภาพประกอบ: อรนัส รอดเจริญ

คณะผู้เขียน

ดร.ชินวัฒน์ หรยางกูร: ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า

ผศ.ดร.นัฐพร โรจนหัสดิน: คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

พ.ต.ต.หญิง มนัสนันท์ กันทะสี: อาจารย์คณะตำรวจศาสตร์  ศูนย์วิทยาการอาชญากรรม โรงเรียนนายร้อยตำรวจ