'โรคไต' ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม รู้ก่อน ป้องกันได้ ก่อนสายไป

ไตของคุณกำลังส่งสัญญาณเตือนหรือไม่? โรงพยาบาลราชวิถีเตือนภัย "โรคไต" ที่มักไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น คุณคือกลุ่มเสี่ยงหรือไม่? มาดูแลไตให้แข็งแรงก่อนสายเกินแก้
โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เตือนภัยโรคไต ที่มักไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น แต่สามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงควรรีบตรวจคัดกรองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อชะลอการเสื่อมของไต
สถานการณ์โรคไตในประเทศไทยน่าเป็นห่วง
นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์โรคไต ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งนับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ยาสมุนไพร หรือผู้ที่ได้รับเคมีบำบัดที่มีผลต่อไต ควรหมั่นตรวจเช็กร่างกายและสังเกตความผิดปกติอย่างสม่ำเสมอ
สัญญาณเตือนภัย "โรคไต" ที่ควรรู้
นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเสริมว่า โรคไตเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญทั่วโลกที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนตามมา สัญญาณสำคัญของโรคไตที่ควรสังเกต ได้แก่:
- ตัวบวม เท้าบวม
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- ปวดหลัง ปวดบั้นเอว
- ปัสสาวะมีฟอง
- ปัสสาวะมีเลือดปนหรือเป็นสีน้ำล้างเนื้อ
- ความดันโลหิตสูงมาก
การตรวจสุขภาพประจำปีจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อหาความเสี่ยงของโรคไตในระยะเริ่มต้น และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
ใครบ้างที่เสี่ยง "โรคไต"?
รศ.พญ.วรางคณา พิชัยวงศ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี อธิบายว่า โรคไตเกิดได้จากหลายสาเหตุ และกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต ได้แก่:
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว : เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง
- ผู้สูงอายุ : ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
- คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน หรือเป็นโรคอ้วน
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไต
- ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำทุกวัน
- ผู้ที่ใช้กลุ่มยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เป็นประจำ
หากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะมีฟองมาก มีเลือดเจือปน ปวดหลังหรือบั้นเอวข้างใดข้างหนึ่ง หรือมีอาการบวมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าบวม ตาบวม หรือเท้าบวม ควรรีบปรึกษาแพทย์
ปรับพฤติกรรม ลดความเสี่ยง ชะลอการเสื่อมของไต
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงและชะลอการเสื่อมของไต ดังนี้ :
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- งดอาหารหมักดอง
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- งดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวด ยาสมุนไพรที่ไม่ทราบสรรพคุณ
นอกจากนี้ การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไตและการตรวจปัสสาวะก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ประเภทของภาวะไตวายและการรักษา
ภาวะไตวาย แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่:
1. โรคไตเฉียบพลัน : มักเกิดจากภาวะขาดน้ำ การติดเชื้อ หรือการได้รับสารพิษ การรักษามุ่งเน้นไปที่การแก้ไขสาเหตุของโรคและการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาปฏิชีวนะหากมีการติดเชื้อ การให้สารน้ำหากขาดน้ำ หรือการหยุดยา/สารที่เป็นพิษต่อไต
2. โรคไตเรื้อรัง : มักเกิดจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบ หรือโรคทางพันธุกรรม การรักษามุ่งเน้นไปที่การชะลอการเสื่อมของไตและการรักษาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะบวมน้ำ ภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะโลหิตจาง ภาวะกระดูกพรุน เป็นต้น ผู้ป่วยส่วนมากอาจจำเป็นต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต ซึ่งมี 4 แนวทางหลัก ได้แก่:
- การล้างไตช่องท้อง
- การฟอกเลือด (การฟอกไตทางหลอดเลือด) : เป็นการบำบัดทดแทนไตที่ใช้ในการรักษาโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย โดยนำเลือดออกจากร่างกายไปฟอกด้วยเครื่องฟอกไต ซึ่งจะทำหน้าที่กำจัดของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด แล้วนำเลือดกลับเข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายจำเป็นต้องฟอกไตเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
- การปลูกถ่ายไต : เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย
- การรักษาแบบประคับประคอง
หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงเป็นโรคไต ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อการตรวจคัดกรองอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาไปสู่โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายในที่สุด
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีสัญญาณเตือนหรือความเสี่ยงของโรคไต อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพไตที่ดีในระยะยาว






