เปลี่ยนประเทศด้วย ‘พลังคนธรรมดา’ | คิดอนาคต

เปลี่ยนประเทศด้วย ‘พลังคนธรรมดา’ | คิดอนาคต

ความจริงแล้วประเทศไทยมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพจำนวนมาก มีคนเก่งที่มีทักษะเฉพาะทางหรือคนในวิชาชีพต่างๆ ที่หลากหลาย และหลายคนมีหัวใจที่พร้อมแบ่งปัน

หากสังคมเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้ใช้ความรู้ที่มีอยู่แล้วในตัวเพื่อเป็นของขวัญมอบให้แก่สังคม แทนที่จะรอการเปลี่ยนแปลงจากเบื้องบน ประเทศอาจค้นพบพลังเปลี่ยนแปลงจากฐานรากจากหมู่บ้านเล็กๆ เชื่อมโยงกันจนกลายเป็นแรงขับเคลื่อนของทั้งประเทศก็ได้

ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ลงพื้นที่ศึกษาตัวอย่างที่ดีในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปหลายๆ จังหวัดทั่วประเทศ พบว่าเบื้องหลังหลายโมเดลที่ประสบความสำเร็จ มักมี “บุคคลภายนอก” เข้ามาเป็นมือช่วยเหลือ บุคคลภายนอกเหล่านี้ไม่ได้เป็นอัศวินม้าขาวหรือผู้ทรงอิทธิพล แต่มักเป็นคนธรรมดาที่มีความรู้บางอย่างที่ได้มอบทักษะของตนให้กับชุมชนที่ตรงกับความต้องการ

ลองนึกภาพเชฟและแม่ครัวเก่งๆ ในเมืองใหญ่ที่สละเวลา 2-3 วันไปสอนกลุ่มแม่บ้านในหมู่บ้านเล็กให้ทำอาหารท้องถิ่นอย่างมืออาชีพเพื่อสร้างรายได้ วิศวกรหรือช่างเทคนิคที่สมัครใจไปช่วยชุมชนดัดแปลงหรือซ่อมแซมเครื่องมือการเกษตรเก่าให้ใช้งานได้หรือกลายเป็นระบบน้ำอัจฉริยะ โปรแกรมเมอร์อาสาที่ช่วยเยาวชนในตำบลห่างไกลสร้างเว็บขายของออนไลน์หรือสอนใช้เอไอเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ นักบัญชีที่ช่วยจัดการงบของวิสาหกิจชุมชน หรือแพทย์หรือเภสัชกรที่มาให้ความรู้เรื่องสุขภาพที่พบบ่อยให้ชุมชน

แนวคิดนี้อาจเรียกว่าเป็นโมเดล “1 คน 1 ความรู้ สู่ 1 พื้นที่” ซึ่งเชื่อว่าความรู้ใดก็ตามที่เรามี ไม่ว่าเล็กน้อยเพียงใด ก็อาจเป็นจุดเริ่มของโอกาสใหม่ให้ใครอีกคนได้ หากเราสร้างระบบจับคู่คนกับพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่องและมีกลยุทธ์ การแบ่งปันจะไม่ใช่เป็นเพียงความช่วยเหลือชั่วคราว แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบที่แท้จริง

เมื่อผมลองค้นหาดูในต่างประเทศก็พบว่า มีประสบการณ์ในหลายแห่งที่พิสูจน์ว่ามีการพยายามจะใช้พลังจากภายในของคนในประเทศแบบนี้ ตัวอย่าง ญี่ปุ่นเคยมีโครงการ Local Vitalization Cooperator เพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้าไปทำงานเพื่อฟื้นฟูท้องถิ่น โดยรัฐสนับสนุนผู้ร่วมโครงการด้วยเงินเดือน ที่พักและการอบรมล่วงหน้า

ผู้ร่วมโครงการจะมีกำหนดสัญญา 1-3 ปีทำงานในชุมชน เช่น เปิดร้านอาหาร ฟื้นฟูพื้นที่ร้าง พัฒนาการท่องเที่ยวหรือช่วยเกษตรอินทรีย์ มีระบบให้ทดลองงาน 2-3 วันที่เลือกทำก่อนสมัครจริง และฝึกงานตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือน เพื่อคัดกรองผู้เหมาะสม

ผลลัพธ์ปรากฎว่ามีชุมชนกว่า 1,100 แห่งต้องการให้เกิดการเข้ามาฟื้นฟูท้องถิ่น มีผู้สมัครโครงการกว่า 6,000 คน และ 65% เลือกจะอยู่ชุมชนต่ออย่างถาวรหลังสิ้นสุดสัญญา หลายคนเปิดกิจการของตนเอง เช่น ร้านอาหาร คาเฟ่ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หรือกิจกรรมชุมชน ทำให้หลายชุมชนที่เคยเสื่อมโทรมกลับฟื้นคืนชีพด้วยธุรกิจใหม่ เช่น คาเฟ่ วัฒนธรรมพื้นถิ่น หรือการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

กรณีแคนาดา มีองค์กร Catalyste+ (ชื่อเดิมคือ CESO) ใช้เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญอาวุโสอาสาสมัครที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีในภาครัฐ เอกชนและสถาบันการศึกษา มาทำงานร่วมกับชุมชนทั้งในแคนาดาและต่างประเทศ องค์กรดำเนินโครงการมากกว่า 50,000 ครั้งและเฉลี่ยปีละ 500 โครงการ เช่น การจัดทำแผนธุรกิจ การเสริมความแข็งแกร่งให้ท้องถิ่นด้านการเงินและบริหารจัดการ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแคนาดาผ่านงบประมาณกว่า 418 ล้านเหรียญในระยะเวลา 7 ปี (2563-2570)

 

สิ่งที่โครงการเหล่านี้มีร่วมกันคือ การไม่ปล่อยให้ความรู้อยู่ในคนเพียงไม่กี่กลุ่มหรืออยู่แต่ในเมืองใหญ่ แต่สร้างระบบเชื่อมโยงให้คนสามารถส่งต่อความรู้ไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างมีกลยุทธ์ มีการวางแผน มีผู้ประสานงาน และมีการติดตามผลที่ต่อเนื่อง

ประเทศไทยน่าจะสามารถทำเช่นเดียวกันได้ หากสร้างระบบฐานข้อมูลกลางที่ให้ประชาชนลงทะเบียนความถนัดและเวลาที่พร้อมจะให้ชุมชนเข้าถึง สร้างกลไกกลางในการจับคู่ความรู้กับพื้นที่ และสนับสนุนให้สถาบันต่างๆ เช่น วิทยาลัยเทคนิค มหาวิทยาลัย องค์กรพัฒนาเอกชนและหน่วยงานรัฐระดับจังหวัด ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงาน เพื่อให้ทักษะถูกส่งถึงมือคนที่ต้องการมากที่สุด

การพัฒนาประเทศไม่ได้จำเป็นต้องเริ่มจากนโยบายใหญ่โตหรือแผนระดับชาติที่ซับซ้อนเสมอไป แต่อาจเริ่มจาก “ครูคนหนึ่ง” ที่ไม่ใช่ครูในโรงเรียน หากแต่เป็นคนธรรมดา ผู้ที่รู้ในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี และมีใจที่พร้อมจะมอบสิ่งนั้นให้กับผู้อื่น ประเทศไทยมีคนแบบนี้อยู่นับล้าน คนที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ หรือแม้แต่แรงบันดาลใจที่พร้อมจะแบ่งปัน

หากเราสามารถสร้างระบบที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้ากับพื้นที่หรือผู้คนที่ต้องการการเรียนรู้หรือแรงสนับสนุนอย่างมีกลไก มีเป้าหมายและมีความไว้วางใจ ประเทศไทยจะไม่ขาดพลังในการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป เพราะการเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้เกิดจากคำสั่งหรือแผนบนกระดาษหรือรองบประมาณเป็นรายปีๆ แต่เกิดจากการลงมือจริงของคนธรรมดาทั่วประเทศที่จะกลายเป็นพลังเงียบในการเปลี่ยนแปลงกระจายไปทุกพื้นที่ในประเทศ

 

เปลี่ยนประเทศด้วย ‘พลังคนธรรมดา’ | คิดอนาคต