“สนธิรัตน์”ชี้ปรับครม.ไม่ช่วยนายกฯพ้นวิกฤต แนะคืนอำนาจประชาชน

“สนธิรัตน์”ชี้ปรับครม.ไม่ช่วยนายกฯพ้นวิกฤต แนะคืนอำนาจประชาชน

“สนธิรัตน์”ชี้ปรับครม.ไม่ช่วยนายกฯเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ขณะที่ความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจลดน้อยลง เหตุตัดสินใจที่อิงความอยู่รอดทางการเมือง แนะคืนอำนาจประชาชน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสท์เฟซบุ๊คถึงสถานการณ์การเมืองภายหลังปรับครม.ชุดใหม่ ว่า "อย่าลากเวลาในการบริหารบ้านเมืองที่ไร้ประสิทธิภาพออกไป!" พร้อมทั้งขยายรายละเอียดเพิ่มว่า เมื่อมีอำนาจในมือ ผู้นำทางการเมืองจึงต้อง“ทั้งรับผิดและรับชอบ”ควบคู่กันไป ยิ่งมีอำนาจสูงเท่าไร ความรับผิดชอบทางการเมืองก็ต้องยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ไม่ใช่น้อยลง

"ความรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องรอให้ถูกกดดัน ไม่ต้องเอากฎหมายมากาง แต่เป็นสิ่งที่ผู้นำทางการเมือง “ต้องสำนึกรู้ได้ด้วยตัวเอง"

พี่น้องประชาชนคงได้เห็นโฉมหน้าของ ครม.ชุดใหม่ แล้ว…ที่ถามแบบนี้ เพราะ #ความรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่แค่ลาออก-ยุบสภา แบบที่คนเรียกร้องเวลานี้เท่านั้น 

แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบต่อการบริหารบ้านเมือง ที่ต้องคัด ต้องสรรหา ทีมบริหารที่เก่ง รู้รอบ  ประสบการณ์สูงมาร่วมกันแก้วิกฤติชาติ เมื่อคิดถึงแต่การแบ่งเค้กทางการเมือง ก็บีบให้ต้องตัดสินใจเลือกทีมบริหารภายใต้ข้อจำกัดทางการเมือง

นายสนธิรัตน์ ระบุว่า การตัดสินใจที่อิงความอยู่รอดทางการเมือง อาจไม่ได้ช่วยให้นายกฯ เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส สาหัสกว่านั้น ทำให้ความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจลดน้อยลงไปด้วย ภายใต้สถานการณ์แรงกดดันรอบตัว ผลงานการแก้ปัญหาและกล้าทำเพื่ออนาคตของประเทศ จะเป็นสิ่งที่รักษาคณค่าของเวลาที่เหลืออยู่ 

"ถ้าไม่แน่ใจ! ทางออกที่จะคืนอำนาจให้ประชาชนก็เป็นสิ่งที่ต้องคิด เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะลากการบริหารบ้านเมืองที่ไร้ประสิทธิภาพให้ยาวนานออกไป"

ยิ่งผู้นำการเมือง ทอดเวลาการลงจากอำนาจออกไป ก็ยิ่งทำให้ตัวผู้นำห่างไกลจากความนิยมทางการเมืองมากขึ้นทุกที เห็นได้จากผลโพลวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คะแนนความนิยมของนายกฯ ร่วงลงมาอยู่ในอันดับ 5 คะแนนลดลงไปร่วม 20 จุด  เช่นเดียวกับความนิยมของพรรคเพื่อไทย ที่ร่วงลงไปเป็นพรรคอันดับ 3 คะแนนลดลงไปร่วม 20 จุด
 

ขณะเดียวกัน การชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก็หนาแน่นด้วยผู้คนหลักหลายหมื่น มาร่วมกันแสดงความไม่พอใจต่อความไม่รับผิดชอบของผู้นำทางการเมือง "สถานการณ์แบบนี้ การบริหารบ้านเมืองจะทำได้ยากอย่างยิ่ง"

ขอเตือนไว้ว่า ‘ทุกทางออกจะเหมาะสมในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น’ เพราะถ้าตัดสินใจไม่ถูกจังหวะ ปล่อยให้ยืดเยื้อ เงื่อนปมการลงจากอำนาจจะยิ่งซับซ้อนขึ้น 

จากที่เป็นวิกฤติเฉพาะตัวนายกฯ ก็อาจลุกลามกลายเป็นวิกฤติของพรรคการเมือง ของรัฐบาลทั้งชุด และกลายเป็นเงื่อนปมใหม่ของวิกฤติการเมืองทั้งระบบ